วันพุธที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2555

กินวิตามินอย่างไรให้ได้ประโยชน์

กินวิตามินอย่างไรให้ได้ประโยชน์ (Health plus)

สารพัดอาหารเสริมมีขายกันดาษดื่นจนเลือกไม่ถูก ชนิดไหนกันแน่ที่เหมาะกับคนวัย 30 แล้วจะมั่นใจได้อย่างไร ว่าเราไม่ถูกหลอกจากอาหารเสริมที่อวดอ้างสรรพคุณเหล่านั้น มาอ่านเรื่องราวต่อไปนี้เพื่อหาคำตอบกัน...

อะไรอยู่ในตู้เก็บของในครัวของคุณ มีขวดวิตามินอยู่ในนั้นหรือไม่ หรือจะเป็นอาหารเสริมจำพวกแอนตี้ออกซิแดนท์ ว่าแต่จะรู้ได้อย่างไรว่าจำเป็นต้องกินอาหารเสริมประเภทไหน หรือต้องกินเมื่อไร หรือมีความจำเป็นต้องกินจริงหรือไม่ ปัจจุบันมีอาหารเสริมให้เลือกซื้อหามากมาย แต่ละชนิดก็มีสูตร ส่วนผสม และราคาที่แตกต่างกันไป ซึ่งพวกเรากว่าครึ่งไม่รู้แม้กระทั่งว่า อาหารเสริมที่ซื้อนั้นให้คุณค่าทางอาหารอย่างที่เราต้องการหรือไม่

เมื่อเร็ว ๆ นี้สำนักงานมาตรฐานด้านอาหาร (The Food Standards Agency) ได้ตีพิมพ์รายงานที่ระบุว่า คนส่วนใหญ่จะได้รับสารอาหารที่จำเป็นจากการกินอาหารให้ครบ 5 หมู่โดยไม่ต้องพึ่งอาหารเสริม และยังเตือนด้วยว่า วิตามินและเกลือแร่บางชนิด เช่น วิตามินซี แคลเซียม และธาตุเหล็ก หากร่างกายได้รับมากเกินไปอาจก่อให้เกิดอันตราย

ขณะเดียวกันการวิจัยชี้ว่า 3 ใน 4 ของผู้หญิงอังกฤษได้รับธาตุเหล็กไม่เพียงพอจากอาหารที่กินในแต่ละวัน และอีกไม่น้อยที่ขาดสารอาหารจำเป็น เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม กรดโฟลิก และโพแทสเซียม

วิตามินรวม : หลักประกันความมั่นใจ

แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่า เราได้รับสารอาหารครบถ้วนที่จำเป็นกับร่างกาย โดยไม่ก่อให้เกิด อันตรายแก่ร่างกาย หรือต้องเสียเงินเปล่าประโยชน์ไปกับอาหารเสริมที่ไม่ได้ผล นักโภชนาการเห็นด้วยว่าคุณต้องทำความรู้สึกกับวิตามินรวมคุณภาพดี วิตามินรวมเป็นเหมือนหลักประกันความมั่นใจว่า คุณจะได้รับวิตามินและเกลือแร่ในปริมาณที่ร่างกายต้องการในแต่ละวันครบถ้วน

ตรวจสอบดูว่าผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มีส่วนประกอบของสารอาหารที่แนะนำให้รับประทานในแต่ละวัน (RDA) อย่างน้อย 100% เช่นวิตามินเอ ซี อี แคลเซียม กรดโฟลิก แมกนีเซียม โพแทสเซียม เซเลเนียม และสังกะสี

อย่างไรก็ตาม ระดับ RDA ของสารอาหารบางชนิด อาจน้อยเกินไปสำหรับคนบางคน โดยเฉพาะหากคุณมีปัญหาสุขภาพบางประการ หรือหากคุณต้องการเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงสูงสุด ไม่ใช่แค่ชดเชยสารอาหารที่ขาดไป

แมรีออน สจ๊วต ผู้ก่อตั้งสถาบันให้คำปรึกษาชื่อว่า the Women’s Nutritional Advisory Service และผู้เขียนเรื่อง The Zest For Life Plan แนะให้เลือกชนิดของวิตามินที่เหมาะกับความจำเป็นของแต่ละคน แทนที่จะกินแบบเหวี่ยงแห นั่นคือเลือกที่มีวิตามินสารพัดชนิด หรือมีวิตามินบางชนิดในปริมาณเพียงเล็กน้อย อีกนัยหนึ่งคือวิตามินรวมที่ดีจะให้สารอาหารสำคัญเพื่อสุขภาพที่แข็งแรง แต่ถ้าอยากได้รับวิตามินสารพัดชนิดหนึ่ง และสารอาหารอื่นใดเพิ่มขึ้นเป็นพิเศษตามความจำเป็น คุณก็ไม่จำเป็นต้องเสียเงินซื้อวิตามินรวมอีก

ช้อปวิตามินให้ถูกหลัก

ถ้าคุณคิดจะทานวิตามินรวม ให้จำไว้ว่าอาหารเสริม แต่ละยี่ห้อไม่เหมือนกัน ดังนั้นควรคิดให้รอบคอบก่อนซื้อ

ลงทุนเพื่อสุขภาพ

อาหารเสริมจำพวกวิตามินประเภทซื้อ 1 แถม 1 ดูเหมือนเป็นส่วนลดที่ผู้ชายมอบให้ผู้ซื้อ แต่นักโภชนาการส่วนใหญ่กลับให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ที่คุณควักเงินซื้อ "อาหารเสริมคุณภาพดี มักมีส่วนผสมที่ก่อให้เกิดผลกับร่างกายมากกว่า และมีสารอาหารที่ร่างกายดูดซึมได้ง่าย" เจน แทนเครด กล่าว จึงไม่ต้องแปลกใจที่อาหารประเภทนี้มักมีราคาค่อนข้างสูง

จำไว้ว่าเพื่อทางเลือกที่ดีกว่าของสุขภาพและเงินในกระเป๋าคุณ ให้เลือกวิตามินรวมคุณภาพดี โดยนำมาผ่าครึ่ง กินวันละครึ่งเม็ดดีกว่ากินอาหารเสริมราคาถูกวันละหนึ่งเม็ด

เลือกสูตร time-release formulations

อาหารเสริมสูตร time-release formulations จะออกฤทธิ์ ในร่างกายนานกว่า 8-10 ชั่วโมง และได้ประโยชน์โดยเฉพาะเมื่ออาหารเสริมนั้นอยู่ในรูปวิตามินที่ละลายน้ำได้ เช่น วิตามินซี และด้วยเหตุที่ร่างกายจะขับวิตามินส่วนเกินหลังเวลาผ่านไป 2-3 ชั่วโมง ดังนั้นจึงควรกินอาหารเสริมที่ออกฤทธิ์นานตลอดวัน

อาหารเสริมชนิดเม็ด แคปซูล หรือของเหลว

เลือกชนิดที่เหมาะกับคุณมากที่สุด แม้ผลการวิจัยจะระบุว่าวิตามินในรูปของเหลวออกฤทธิ์เร็วกว่า เพราะไม่จำเป็นต้องผ่านการย่อยในกระเพาะอาหาร จึงซึมเข้าสู่กระแสเลือดได้รวดเร็วกว่า

หลีกเลี่ยงอาหารเสริมชนิดเม็ดที่ละลายในน้ำแล้วเกิดฟอง นักโภชนาการแอนโธนี่ เฮย์ เตือนว่าอาหารเสริมดังกล่าวมักแต่งกลิ่นและใช้สีผสมอาหาร มีส่วนผสมของน้ำตาลและสารปรุงแต่งอื่น ๆ ที่ควรหลีกเลี่ยง

การรับประทานวิตามิน

เมื่อคุณซื้ออาหารเสริมคุณภาพดีมาแล้ว ตอนนี้ต้องแน่ใจว่าคุณรับประทานอย่างถูกวิธี เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากสารอาหารที่อยู่ในอาหารเสริมดังกล่าว

เวลาในการรับประทาน

อาหารเสริมประเภท time-release formulations และวิตามินรวมควรรับประทานตอนเช้าจะดีที่สุด แต่ก็มีอาหารเสริมบางชนิดจำเป็นต้องทานวันละ 2-3 ครั้ง หากคุณรับประทานวิตามินรวมเป็นประจำในตอนเช้า ต้องอย่าลืมทิ้งช่วงระหว่างดื่มกาแฟ หรือชากับอาหารเสริมให้ห่างกันอย่างน้อย 2 ชั่วโมง เหตุที่ต้องทำเช่นนี้ เพราะคาเฟอีนจะขัดขวางไม่ให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารบางชนิด

ควรทานขณะท้องว่างหรือไม่

ช่วงเวลาดีที่สุดในการทานอาหารเสริมคือทานพร้อมอาหาร เนื่องจากจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ตัวอย่างเช่น วิตามินประเภท time-release ต้องทานตอนที่มีอาหารอยู่ในกระเพาะ เพื่อป้องกันไม่ให้อาหารเสริมไหลผ่านไปยังลำไส้ ซึ่งไม่สามารถดูดซึมสารอาหารได้ อย่างไรก็ตาม อาหารเสริมบางชนิด เช่น สังกะสีควรรับประทานก่อนอาหาร ดังนั้นก่อนทานควรอ่านฉลากให้แน่ชัด


วิตามินที่เหมาะกับแต่ละคน
เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดจากวิตามินรวม คุณอาจจำเป็นต้องทานสารอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งเฉพาะ เพื่อให้ได้สารอาหารนั้นเป็นพิเศษ ว่าแต่วิตามินและเกลือแร่ชนิดใดที่คนอายุ 30 ปีขึ้นไป จำเป็นต้องได้รับมากที่สุด และต้องทำอย่างไรจึงจะได้รับสารอาหารดังกล่าวนั้น

แคลเซียม
หากคุณไม่ทานผลิตภัณฑ์นม
หรือมีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุนอาหารเสริมจำพวกแคลเซียมจะช่วยให้กระดูกของคุณแข็งแรง

How much : ผู้หญิงต้องได้รับวันละ 800 มิลลิกรัม แต่ถ้าทานกินวันละ 1,500 มิลลิกรัม จะก่อให้เกิดปัญหา

Best buy : แคลเซียมมีเฉพาะชนิดเม็ด เลือกซื้อแคลเซียมฟอสเฟต เนื่องจากดูดซึมได้ง่ายกว่า

Take with : ควรทานแคลเซียมร่วมกับอาหารในตอนค่ำจะดีที่สุด หรือเลือกทานร่วมกับแมกนีเซียมก็ได้ผลดีเช่นกัน เนื่องจากสารอาหารสองชนิดนี้ทำงานร่วมกันได้ดี

วิตามินซี

ถ้าคุณสูบบุหรี่ ทานจั๊งค์ฟู้ดเป็นประจำ หรือกำลังต่อกรกับโรคภัยไข้เจ็บ วิตามินซี จะช่วยเสริมสร้างระบบภูมิต้านทานโรค

How much : ปริมาณแนะนำให้รับประทานคือ วันละ 60 มิลลิกรัม แต่ในช่วงที่เจ็บป่วยสามารถทานได้ถึงวันละ 1,000 มิลลิกรัม นาน 2-3 วัน หลีกเลี่ยงการรับประทานในปริมาณมาก ๆ หากอยู่ในช่วงทานยาคุมกำเนิดหรือมีอาการท้องเสีย

Best buy : เลือกชนิดออกฤทธิ์ได้นานหรือ time-release formulations เพราะร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมวิตามินซี

Take with : ควรทานวิตามินซีร่วมกับอาหารในตอนเช้า หรือถ้าต้องทานมากกว่าหนึ่งโดส ให้แบ่งทานวันละมากกว่าหนึ่งครั้ง เนื่องจากร่างกายไม่สามารถเก็บสะสมวิตามินซี

วิตามินอี

ใครก็ตามที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ มีปัญหาเกี่ยวกับระบบไหลเวียนโลหิต ระดับคอเลสเตอรอลสูง หรือผิวแห้ง เหล่านี้ล้วนได้ประโยชน์จากการรับประทานวิตามินอี

How much : ผู้หญิงจำเป็นต้องได้รับวิตามินอี วันละ 10 มิลลิกรัม แต่ไม่ควรได้รับเกินกว่าวันละ 450 มิลลิกรัม หากคุณอยู่ในระหว่างทานยารักษาโรคหัวใจ (เช่น ยา anti-coagulant ซึ่งเป็นยาในกลุ่มวาร์ฟาริน) ควรปรึกษาแพทย์ก่อน

Best buy : ผลการวิจัยระบุว่าวิตามินอีสูตรธรรมชาติมีประสิทธิภาพดีกว่าสูตรสังเคราะห์ถึง 2 เท่า

Take with : ทานร่วมกับอาหารในตอนเช้า

เหล็ก

ถ้าคุณมีประจำเดือนมามาก (มักพบในช่วงก่อนเข้าวัยทอง) หรือทานมังสวิรัติ หรือรู้สึกอ่อนเพลียเป็นประจำ อาจเป็นไปได้ว่าคุณขาดธาตุเหล็ก

How much : ผู้หญิงจำเป็นต้องได้รับธาตุเหล็ก วันละ 14 มิลลิกรัม และไม่ควรทานเกินวันละ 17 มิลลิกรัม อย่าทานอาหารเสริมจำพวกธาตุเหล็กนานติดต่อกันเกิน 6 เดือน โดยไม่ได้ปรึกษาแพทย์หรือนักโภชนาการ เพราะหากทานมากเกินไปอาจก่อให้เกิดโรคหัวใจ

Best buy : ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็กในรูปของเหลวได้ดีกว่า ในรูปยากเม็ดชนิดแตกตัวในลำไส้ (iron fumarate) หรือวิตามินซีที่ช่วยดูดซึมธาตุเหล็ก (iron sulphate) ร่างกายดูดซึมได้ช้า ขณะที่เหล็กซัลเฟต (iron sulphate) ร่างกายดูดซึมได้เร็ว แต่มักทำให้ท้องผูกเรื้อรัง

Take with : เลือกซื้อชนิดที่มีส่วนผสมของวิตามินซีหรือทานคู่กับน้ำส้ม 1 แก้ว จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดีขึ้น

แมกนีเซียม

อาการผิดปกติก่อนมีประจำเดือนหรืออาการวัยทอง เช่น ร้อนวูบวาบตามร่างกาย หรือดื่มเหล้าเป็นประจำ อาจมีผลให้ระดับแมกนีเซียมในร่างกายต่ำ

How much : ผู้หญิงจำเป็นต้องได้รับวันละ 300 มิลลิกรัม แต่ไม่เกิน 400 มิลลิกรัม

Best buy : แมกนีเซียมในรูปของคีเลต (chelated) ดีที่สุด เพราะมีส่วนผสมของกรดอะมิโนที่ช่วยให้ร่างกายดูดซึมไปใช้ได้ดี

Take with : ทานร่วมกับอาหารในตอนเช้า

เซเลเนียม

หากแอนตี้ออกซิแดนท์ดังกล่าวอยู่ในระดับต่ำก็จะทำให้มีโอกาสเป็นโรคมะเร็ง โรคหัวใจ และแก่ก่อนวัย

How much : ไม่มีคำแนะนำว่าควรรับประทานเซเลเนียมเท่าใดจึงจะเหมาะสม แต่ไม่ควรทานเกิน วันละ 350 มิลลิกรัม

Best buy : ที่ช่วยในการดูดซึม เลือกเซเลเนียมคีเลตเพราะมีส่วนผสมของกรดอะมิโน

Take with : ทานร่วมกับอาหารในตอนเช้า





ขอขอบคุณข้อมูลจาก: http://health.kapook.com/view10770.html

วันจันทร์ที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2555

13-15 มี.ค อย่าพลาดชมปรากฏการณ์ "ดาวล้อมเดือน" ดาวศุกร์เคียงดาวพฤหัสบดี




วันที่ 13 มี.ค. นายวรวิทย์ ตันวุฒิบัณฑิตย์ นักดาราศาสตร์ไทย เปิดเผยว่า ตั้งแต่หัวค่ำวันที่ 13 -15 มีนาคม 2555 ทาขอบฟ้าทิศตะวันตก จะเกิดปรากฏการณ์ดาวศุกร์เคียงคู่ดาวพฤหัสบดีในระยะห่างกันประมาณ 3 องศา และในวันที่ 26 มีนาคม จะมีปรากฏการณ์ดาวล้อมเดือน โดยดวงจันทร์ขึ้น 4 ค่ำ โคจรอยู่ระหว่างกลางดาวศุกร์และดาวพฤหัสบดี ดาวศุกร์จะอยู่ด้านบน ของดวงจันทร์ ห่างดวงจันทร์ประมาณ 3 องศา 34 ลิปดา ดาวพฤหัสบดีอยู่ด้านล่าง ห่างดวงจันทร์ประมาณ 5 องศา 25 ลิปดา ปรากฏการณ์ เหมือนพระจันทร์ยิ้มแต่มีตาเดียว คือตาข้างขวา ส่วนดาวพฤหัสบดี ไม่ได้เป็นตาซ้าย กลับมาอยู่ด้านล่างดวงจันทร์กลายเป็นดาวล้อมเดือนแบบเรียงแถวไม่เป็นพระจันทร์ยิ้ม

"ดวงจันทร์ ดาวศุกร์ ดาวพฤหัสบดี ทั้งสามดวงอยู่ในกลุ่มดาวเดียวกัน คือกลุ่มดาวแกะ (Aries) เป็นปรากฏการณ์ ที่สวยงามน่าติดตามถึงการโคจรของดวงดาวบนท้องฟ้าอีกปรากฏการณ์หนึ่ง" นายวรวิทย์ กล่าวว่า

สำหรับดาวศุกร์มีความสว่าง -4.35 ดาวพฤหัสบดีมีความสว่าง -2.07 ดวงจันทร์ขึ้น 4 ค่ำมีปรากฏการณ์ Earth Shine เห็นได้ชัดเจน วิธีสังเกตปรากฏการณ์ในครั้งนี้ ให้มองไปทางทิศตะวันตกสามารถ เห็นได้ด้วยตาเปล่า ทันทีที่ฟ้าเริ่มมืด ดาวศุกร์เคียงดาวพฤหัสบดี เห็นได้ วันที่ 13-15 มีนาคมนี้

ขณะที่ปรากฏการณ์ ดาวล้อมเดือนเรียงแถวจะเห็นได้วันที่ 26 มีนาคม แต่ผู้สังเกตการณ์ ต้องหาที่โล่ง หรือที่สูงไม่มีอาคารบัง จะพอสังเกตได้นาน อุปสรรคสำคัญที่ทำให้ไม่สามารถสังเกตได้ก็คือฟ้าหลัวและเมฆฝนที่มีมากในฤดูนี้ สำหรับตำแหน่งทางดาราศาสตร์ของดาวพฤหัสบดี RA 2 h 39.861m DEC 14 องศา 37ลิปดา 7ฟิลิปดา ดาวศุกร์ RA 3 h 15.95m DEC 21 องศา 17ลิปดา 24ฟิลิปดา




ขอบคุณที่มาจาก:ข่าวสดออนไลน์

อาหารดีที่ควรมีติดบ้าน-ทานประจำทำสมองแล่น



สมองเรียนรู้-รับรู้ไม่สะดุด ด้วย “อาหารใกล้ตัว” ดีสุด ๆ สำหรับ “สารสื่อประสาท” หยิบบรรจุลงเมนูประจำทำสมองแล่น

ปัจจัยสำคัญอย่างหนึ่งที่มีผลต่อกระบวนการเรียนรู้-รับรู้ไม่สะดุด นั่นก็คือ “สารอาหาร” ที่ถูกหลักโภชนาการ ส่งผลด้านบวกต่อ “สารสื่อประสาท” ที่จะทำให้การส่งข้อมูลของสมองเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ลองมาเช็คกันดูว่า วันนี้คุณให้อาหารสมองแล้วหรือยัง?

เริ่มด้วย การเติมความแข็งแรงให้สารสื่อประสาท “อะซิทิลโคลีน” ด้วยอาหารจำพวกข้าวซ้อมมือ ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ต จมูกข้าว เครื่องในสัตว์ เนื้อปลา ไข่แดง ตับ นม ถั่วเหลือง ถั่วสิลง กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก บร็อคโคลี เป็นต้น มีผลต่อการควบคุมความจำ การเรียนรู้ การเคลื่อนไหวและการทำงานของระบบกล้ามเนื้อ

สำหรับ “โดพามีน” จากอาหารที่เป็นแหล่งโปรตีน อาทิ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ อาหารทะเล รวมถึงหัวบีต อัลมอนด์ เมล็ดธัญพืช กล้วย แอปเปิ้ล เหล่านี้มีผลต่อความรู้สึกตื่นตัว กระฉับกระเฉง มีสมาธิ ไวต่อสิ่งกระตุ้นรอบตัว

ส่วน “เซโรโทนิน” จากสารอาหารคาร์โบไฮเดรตจำพวกแป้ง และน้ำตาล เช่น ขนมปัง รวมถึงเห็ด ถั่วเขียว หัวเผือก หัวมัน มันเทศ มันฝรั่ง ฟักทอง ข้าวฟ่าง ลูกเดือย ข้าวโพด ผักกาดขาว แคนตาลูป มีบทบาทหลายหน้าที่ ทั้งการควบคุมความหิว ความโกรธ ทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบ ลดความวิตกกังวล และลดความซึมเศร้า

หมั่นทานเป็นประจำ โดยอาจประยุกต์เป็นเมนูตามชอบ แล้วจะสัมผัสได้ถึงคำกล่าวที่ว่า


“You are what you eat”.

ทีมเดลินิวส์ออนไลน์ ขอบคุณที่มาจาก หนังสือพิมพ์เดลินิวส์

วันพุธที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2555

วันปีใหม่




ความเป็นมา ในอดีต วันขึ้นปีใหม่ของไทยได้มีการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 4 ครั้งคือ ครั้งแรกถือเอาวันแรม 1 ค่ำ เดือนอ้าย เป็นวันขึ้นปีใหม่ซึ่ง ตรงกับเดือนมกราคม ครั้งที่ 2 กำหนดให้วันขึ้นปีใหม่ตรงกับวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ตามคติพราหมณ์ ซึ่งตรงกับเดือนเมษายน


การกำหนดวันขึ้นปีใหม่ใน 2 ครั้งนี้ ถือเอาทางจันทรคติเป็นหลัก ต่อมาได้ถือเอาทางสุริยคติแทน โดยกำหนดให้วันที่ 1 เมษายน เป็นวันขึ้นปีใหม่ ตั้งแต่ พ.ศ.2432 เป็นต้นมา อย่างไรก็ตาม ประชาชนส่วนใหญ่โดยเฉพาะตามชนบทยังคงยึดถือเอาวันสงกรานต์เป็น วันขึ้นปีใหม่อยู่ ต่อมาเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตย ทางราชการเห็นว่าวันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ไม่สู้จะมีการรื่นเริงอะไรมากนัก สมควรที่จะฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ จึงได้ประกาศให้มีงานรื่นเริงวันขึ้นปีใหม่ในวันที่ 1 เมษายน 2477 ขึ้นใน กรุงเทพฯเป็นครั้งแรก


การจัดงานวันขึ้นปีใหม่ที่ได้เริ่มเมื่อวันที่ 1 เมษายน ได้แพร่หลายออกไปต่างจังหวัดในปีต่อๆมา และในปี พ.ศ.2479 ก็ได้มีการ จัดงานรื่นเริงปีใหม่ทั่วทุกจังหวัด วันขึ้นปีใหม่วันที่ 1 เมษายน ในสมัยนั้นทางราชการเรียกว่า วันตรุษสงกรานต์


ต่อมาได้มีการพิจารณาเปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่อีกครั้งหนึ่ง โดยคณะรัฐมนตรีได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้น ซึ่งมีหลวงวิจิตรวาทการ เป็นประธานกรรมการ ที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่เป็นวันที่ 1 มกราคม โดยกำหนดให้วันที่ 1 มกราคม 2484 เป็น วันขึ้นปีใหม่เป็นต้นไป



เหตุผลที่ทางราชการได้เปลี่ยนวันขึ้นปีใหม่จากวันที่ 1 เมษายนมาเป็นวันที่ 1 มกราคม ก็คือ
1. ไม่ขัดกับพุทธศาสนาในด้านการนับวัน เดือน และการร่วมฉลองปีใหม่ด้วยการทำบุญ
2. เป็นการเลิกวิธีนำเอาลัทธิพราหมณ์มาคร่อมพระพุทธศาสนา
3. ทำให้เข้าสู่ระดับสากลที่ใช้อยู่ในประเทศทั่วโลก
4. เป็นการฟื้นฟูวัฒนธรรม คตินิยม และจารีตประเพณีของชาติไทย


กิจกรรมที่ชาวไทยส่วนใหญ่มักจะยึดถือปฏิบัติในวันขึ้นปีใหม่ได้แก่
1. การทำบุญตักบาตร โดยอาจตักบาตรที่บ้าน หรือไปที่วัดหรือตามสถานที่ต่างๆที่ทางราชการเชิญชวนไปร่วมทำบุญ
2. การกราบขอพรจากผู้ใหญ่ และอวยพรเพื่อนฝูง การมอบของขวัญ การมอบช่อดอกไม้ หรือการส่งบัตรอวยพร
3. การจัดงานรื่นเริง การจัดเลี้ยงในหมู่เพื่อนฝูง ญาติพี่น้องหรือตามหน่วยงานต่างๆ
วันขึ้นปีใหม่นับเป็นโอกาสดีที่จะทำให้เราได้ทบทวนถึงการดำเนินชีวิตในอดีต เพื่อจะได้แก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นในอดีตให้ดีขึ้น


เพลงพระราชนิพนธ์ พรปีใหม่








ทำนอง: พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช
คำร้อง: พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจักรพันธ์เพ็ญศิริ

สวัสดีวันปีใหม่พา ให้บรรดาเราท่านรื่นรมย์
ฤกษ์ยามดีเปรมปรีดิ์ชื่นชม ต่างสุขสมนิยมยินดี
ข้าวิงวอนขอพรจากฟ้า ให้บรรดาปวงท่านสุขศรี
โปรดประทานพรโดยปรานี ให้ชาวไทยล้วนมีโชคชัย
ให้บรรดาปวงท่านสุขสันต์ ทุกวันทุกคืนชื่นชมให้สมฤทัย
ให้รุ่งเรืองในวันปีใหม่ ผองชาวไทยจงสวัสดี
ตลอดปีจงมีสุขใจ ตลอดไปนับแต่บัดนี้
ให้สิ้นทุกข์สุขเกษมเปรมปรีดิ์ สวัสดีวันปีใหม่เทอญ







































วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เปียโน

เปียโน เป็นเครื่องดนตรีขนาดใหญ่ที่สร้างเสียงเมื่อคีย์ถูกกดและกลไกภายในเครื่องตีสาย คำว่าเปียโนเป็นตัวย่อของคำว่า ปีอาโนฟอเต(pianoforte)-ออกเสียงว่า (ปี-อ๊า-โน่-ฟอ-เต้) ซึ่งเป็นคำภาษาอิตาเลียนที่แปลว่า "เบาดัง" มาจากความสามารถของเปียโนที่จะปรับความดังเบาตามแรงที่กดคีย์ ในฐานะเครื่องสาย เปียโนมีความคล้ายคลึงกับคลาวิคอร์ด (clavichord) และฮาร์ปซิคอร์ด (harpsichord) จะแตกต่างกันเพียงวิธีการสร้างเสียง สายฮาร์พซิคอร์ดจะถูกดีดหรือเกาโดยขนนก ส่วนสายของคลาวิคอร์ดจะถูกเคาะด้วยกลไกที่จะยังคงสัมผัสกับสายอยู่ตลอดเวลาหลังการเคาะ เพื่อบังคับความถี่ของการสั่น ส่วนสายเปียโนถูกเคาะด้วยลิ่มที่สะท้อนกลับในทันที เพื่อให้เกิดการสั่นของสายอย่างเป็นอิสระ เปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่ำสำคัญในดนตรีคลาสสิกตะวันตก ดนตรีแจ๊ซ ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และดนตรีอีกหลายรูปแบบ เปียโนยังเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูง





เปียโนในยุคแรกเริ่ม



เปียโนถูกคิดค้นขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี โดยบาร์โทโลเมโอ คริสโตโฟรี. รายละเอียดเวลาที่คริสโตโฟรีประดิษฐ์เปียโนเครื่องแรกนั้นไม่ชัดเจน แต่จากบันทึกของครอบครัวเมดิชิ ผู้ที่ว่าจ้างคริสโตโฟรี ปรากฏว่ามีเปียโนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1700 คริสโตโฟรีสร้างเปียโนอีก 20 เครื่องก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1731 และเปียโน 3 ตัวของเขาที่ยังคงอยู่ในปัจจุบันย้อนมาจากช่วงปี ค.ศ. 1720 เปียโน เหมือนการพัฒนาทางเทคโนโลยีอื่นๆ มีรากฐานมาจากพัฒนาการของฮาร์ปซิคอร์ดตลอดหลายศตวรรษ ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการผลิตแผ่นขยายเสียง โครง และ คีย์บอร์ด. คริสโตโฟรีเองก็เป็นผู้ผลิตฮาร์พซิคอร์ด ความสำเร็จใหม่ที่สำคัญของคริสโตโฟรีคือการให้ค้อนตีสายเปียโนโดยไม่ค้างอยู่กับสาย (เพื่อให้เสียงที่ชัด). นอกจากนั้น ตัวค้อนยังจำเป็นที่จะต้องกลับสู่ตำแหน่งเดิมโดยไม่ดีดหรือเด้งอย่างรุนแรง และที่สำคัญ เปียโนยังจำเป็นที่จะเล่นโนต์ที่รัวได้ เปียโนตัวแรกๆ ของคริสโตโฟรีทำขึ้นมาด้วยสายที่บางกว่าเปียโนปัจจุบัน ทำให้เสียงนั้นเบากว่าเปียโนปัจจุบันมาก. แต่เมื่อเทียบกับคลาวิคอร์ด (เครื่องดนตรีเพียงชนิดเดียวในยุคนั้นที่สามารถควบคุมความเบาหรือดัง) เปียโนมีความดังมากกว่า เครื่องดนตรีใหม่นี้ไม่ได้รับความสนใจมากนักจนนักเขียนชาวอิตาลีนามว่าสกีปีโอเน่ มาเฟอี (Scipione Maffei) ได้เขียนและตีพิมพ์บทความ (ค.ศ. 1711) ที่พูดอย่างน่าตื่นตาตื่นใจถึงข้อดีของเปียโน. มาเฟอีได้รวมแบบของเปียโนไว้ในบทความ และกระตุ้นให้ผู้ผลิตอื่นๆ เริ่มที่จะสร้างเปียโนตามแบบของคริสโตโฟรี หนึ่งในผู้ผลิตนี้คือกอตต์เฟรด ซิลเบอร์แมน (Gottfried Silbermann) ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตออร์แกน. เปียโนของซิลเบอร์แมนแทบจะเป็นการเลียนแบบของคริสโตโฟรี ยกเว้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ คือคันเหยียบที่ยกแดมเปอร (์Damper Pedal) ออกจากทุกสายในเวลาเดียวกัน. หลังจากนั้น เปียโนส่วนมากก็นำสิ่งประดิษย์ของซิลเบอร์แมนมาใช้. ซิลเบอร์แมนได้นำเปียโนของเขาไปแสดงให้โยฮัน เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) ในช่วงปี ค.ศ. 1730 แต่บาคก็แสดงความไม่ชอบใจที่โน้ตสูงของเปียโนยังคงเบาและไม่สามารถให้ความไพเราะอย่างเต็มที่. ซิลบอร์แมนจึงได้พัฒนาเปียโนเพิ่มขึ้นอีก จนบาคให้ความเห็นด้วยกับเปียโนของซิบเบอร์แมนราวปี ค.ศ. 1747 การผลิตเปียโนเข้าสู่ยุครุ่งเรืองในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะในหมู่ผู้ผลิตเปียโนแห่งกรุงเวียนนา ซึ่งรวมถึงโยฮัน แอนเดรียส สไตน (Johann Andreas Stein) และแนนเนต์ สไตน (Nannette Stein) ลูกสาวของโยฮัน แอนเดรียส. เปียโนเวียนนานั้นมีโครงไม้ สายสองเส้นต่อโน้ต และค้อนหนัง. นักประพันธ์ชื่อดังอย่างโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) เองก็ได้ประพันธ์เพลงเพื่อเล่นบนเปียโนชนิดนี้. เปียโนในยุคของโมซาร์ทนั้นมีเสียงที่ใสกว่าปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้มีพลังเสียงน้อยกว่าเปียโนในปัจจุบัน ในปัจจุบัน คำว่าฟอร์เตเปียโน (fortepiano) ใช้แยกแยะระหว่างเปียโนยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 และเปียโนในปัจจุบัน



ประเภทเปียโน



เปียโนในปัจจุบันมีรูปแบบสองรูปแบบ คือเปียโนตั้งตรงและแกรนด์เปียโน




แกรนด์เปียโน(Grand)เป็นเปียโนที่มีสายและโครงวางในแนวนอน โดยที่สายเสียงนั้นจะถูกขึงออกจากคีย์บอร์ด ซึ่งทำให้มีเสียงและลักษณะที่ต่างออกไปจากเปียโนตั้งตรงแต่จะใช้ที่ทางมาก ทั้งยังจำเป็นต้องหาห้องที่มีการสะท้อนเสียงที่พอเหมาะสำหรับคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด ในบรรดาแกรนด์เปียโนเองยังมีหลายขนาดและประเภท ซึ่งอาจจะแตกต่างกันตามผู้ผลิตหรือรุ่น แต่ก็ยังสามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ เช่น คอนเสิร์ตแกรนด์ ที่มีขนาดประมาน 3 เมตร แกรนด์ ที่มีขนาดประมาน 1.8 เมตร หรือ เบบี้แกรนด์ ที่มักจะสั้นกว่าความกว้าง. เปียโนที่มีความยาวจะสร้างเสียงที่ดีกว่าและเพี้ยนน้อยกว่าเปียโนเครื่องอื่นๆ แกรนด์เปียโนใหญ่จึงเป็นที่นิยมใช้ในคอนเสิร์ต อัพไรท์เปียโน(Upright)เป็นเปียโนที่มีสายและโครงวางในแนวตั้ง และขึงสายเปียตั้งแต่ด้านล่างจนถึงด้านบนของเปียโน แต่เปียโนประเภทนี้ไม่สามารถควบคุมการสร้างเสียงได้นุ่มนวลเท่าแกรนด์เปียโน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเทคโนโลยีเปียโนตั้งตรงได้พัฒนาคุณภาพเสียงมากขึ้น โดยการปรับปรุงโครงสร้างใภยในให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นโดยใช้พื้นที่ในการตั้งวางน้อยกว่าแกรนด์ แต่ให้เสียงที่ใกล้เคียงมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1863 เฮนรี ฟอร์โนว์ (Henry Fourneaux) ประดิษฐ์เปียโนที่สามารถเล่นตัวเองได้ (player piano) โดยใช้ม้วนเหล็กที่เดินเครื่องกลในตัวเปียโน ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เริ่มมีการผลิตเปียโนดิจิตัลขึ้นใช้ โดยเลียนแบบเสียงของเปียโน เปียโนประเภทนี้เริ่มที่จะมีความซับซ้อนและการทำงานที่มากขึ้น โดยสามารถเลียนแบบชิ้นส่วนของเปียโนจริง เช่น น้ำหนักคีย์บอร์ด คันเหยียบ และเสียงเครื่องดนตรีอื่น อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถที่จะทดแทนเปียโนเครื่องจริง



คีย์บอร์ด



เปียโนสมัยใหม่เกือบทุกตัวจะมี 88 คีย์ (มากกว่า 7 Octave เล็กน้อย เรียงลำดับตั้งแต่ A0 ถึง C8) เปียโนรุ่นเก่าหลายตัวมีเพียง 85 คีย์ (ตั้งแต่ A0 ถึง A7) ผู้ผลิตบางรายก็อาจจะเพิ่มปริมาณคีย์ให้มากกว่านั้น โดยบ้างก็เพิ่มเพียงฝั่งเดียวก็เพิ่มทั้งสองฝั่ง ตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือเปียโนBösendorfer ซึ่งบางตัวเพิ่มคีย์เสียงต่ำลงไปกว่าปกติจนถึง F0 บางทีต่ำลงไปจนถึง C0 เลยก็มี ทำให้มีครบ 8 octave บางรุ่นอาจจะซ่อนคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมานี้ไว้ใต้ฝาปิดเล็กๆ ซึ่งสามารถปิดคีย์เอาไว้ได้เพื่อป้องกันไม่ให้นักเปียโนที่คุ้นกับเปียโนปกติเห็นแล้วเกิดความสับสนกับคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมา บางตัวก็อาจจะสลับสีคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านี้ (สลับดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ) ด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นเอง คีย์ที่เพิ่มขึ้นมานั้นโดยมากแล้วก็มีไว้เพื่อสร้างเสียงสะท้อน (resonance) ได้มากขึ้น ซึ่งก็คือมันจะสั่นไปพร้อมกับสายเปียโนเส้นอื่นๆ เมื่อใดก็ตามที่เหยียบคันเหยียบ ซึ่งก็จะให้เสียงได้เต็มกว่า มีเพลงที่แต่งขึ้นมาสำหรับเปียโนไม่กี่เพลงนักที่จะใช้คีย์พิเศษเหล่านี้ ไม่นานมานี้ บริษัท Stuart and Sons ได้ผลิตเปียโนที่มีคีย์มากกว่าปกติออกมาเช่นกัน เปียโนของบริษัทนี้จะเพิ่มคีย์เสียงแหลมขึ้นไปจนถึง 8 octave เต็ม ซึ่งคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมาก็ดูเหมือนคีย์ปกติทุกประการ สำหรับการจัดเรียงคีย์บนเปียโน ให้ดูในหมวด Musical keyboard การจัดเรียงเช่นนี้ได้แบบมาจาก harpsichord โดยไม่ผิดเพี้ยน เว้นแต่สีของลิ่มคีย์ (สีขาวสำหรับเสียงปกติ และสีดำสำหรับชาร์ป sharps) ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานสำหรับเปียโนในตอนปลายศตวรรษที่ 18



คันเหยียบ



เปียโนมีการใช้คันเหยียบหรืออุปกรณ์ที่มีลักษณะใกล้มาตั้งแต่ยุคต้นๆ (ในคริสต์ศตวรรษที่ 18เปียโนบางตัวใช้แท่นแทนคันเหยียบ โดยให้ผู้เล่นใช้เข่าดันขึ้น คันเหยียบสามประเภทซึ่งได้กลายมาเป็นมาตรฐานในเปียโนปัจจุบัน ได้แก่ คันเหยียบ damper pedal (บ้างก็เรียก sustain pedal หรือ loud pedal) มักจะถูกเรียกว่า "the pedal" เฉยๆเพราะว่าเป็นคันเหยียบที่ถูกใช้งานมากที่สุด ซึ่งเป็นคันเหยียบที่อยู่ทางขวาสุด คันเหยียบที่พบเห็นโดยมากที่ติดอยู่กับเปียโนนั้นโดยส่วนมากจะมีอยู่ 3 อัน ในเปียโนบางตัวจะมี 2 อัน โดยจะเทียบได้เท่ากับ อันซ้ายสุดและอันขวาสุดของเปียโนที่มี 3 อัน ซึ่งจะช่วยให้การเล่นเปียโนนั้นมี dynamic ต่าง ๆ กันได้แก่

*คันเหยียบอันซ้ายสุด = มีไว้เพื่อลดความดังของเปียโน ในแกรนด์เปียโน เมื่อเราเหยียบคันเหยียบอันนี้แล้ว ชุดของคีย์บอร์ดรวมทั้งไม้ฆ้อนจะขยับไปทางซ้ายหรือทางขวาเล็กน้อย เพื่อให้ไม้ฆ้อนตีถูกสายเพียงครึ่งเดียว (ปกติเปียโนจะมีสาย 1 ถึง 3 เส้น ต่อ 1 คีย์) ทำให้เสียงเบาลง ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า (Una Corda แปลว่า สายเส้นเดียว) ส่วนในอัพไรท์เปียโน เมื่อเราเหยียบคันเหยียบอันนี้แล้ว จะมีคานมาดันชุดไม้ฆ้อนให้ขยับเข้าไปใกล้กับสายมากขึ้น ทำให้เมื่อกดคีย์แล้ว ไม้ฆ้อนจะเหวี่ยงตัวได้น้อยกว่าปกติ แรงที่เคาะสายจึงน้อยลงด้วย ผลที่ตามมาก็คือ เสียงที่ค่อยกว่า และนุ่มนวลกว่า และจะได้เสียงที่นุ่มลงกว่าเดิม แต่เมื่อเรายกเท้าจากคันเหยียบอันนี้เสียงเปียโนก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม



*คันเหยียบอันกลาง = ในแกรนด์เปียโนเรียกว่า sostenuto pedal เมื่อเหยียบแล้ว จะดำรงเสียงของตัวโน้ตที่กดไว้ก่อนเหยียบคันเหยียบนี้เท่านั้น โดย damper จะเปิดขึ้น (โน้ตอื่นๆ ที่กดหลังจากเหยียบคันเหยียบ damper จะทำงานปกติ ทำให้เสียงสิ้นสุดเมื่อปล่อยนิ้ว) ส่วนในอัพไรท์เปียโน เรียกว่า soft pedal มีไว้เพื่อลดความดังของเปียโน เมื่อเราเหยียบคันเหยียบอันนี้แล้ว จะมีผ้ามากั้นระหว่างฆ้อนกับสาย เพราะฉะนั้นเมื่อเรากดคีย์ เสียงที่ได้จะเบาลง คันเหยีบบอันนี้มีความพิเศษก็คือ มันจะมีช่องสำหรับให้คันเหยียบอันนี้ค้างอยู่ได้ จึงทำให้เราไม่ต้องเมื่อยเมื่อต้องใช้เสียงเบา หรือต้องการใช้ dynamic แบบนี้นาน ๆ ได้ และเรายังสามารถปรับความดัง-เบา นุ่มลึกได้โดยการปรับระดับของแผ่นผ้าที่เคลื่อนลงมากั้นระหว่างฆ้อนเมื่อจะเคาะสายเปียโนได้อีกด้วย (แต่การปรับนั้นต้องเปิดฝาข้างล่างของเปียโนก่อน) ในอัพไรท์เปียโนมักใช้คันเหยียบนี้ในการซ้อมเปียโนเวลาไม่ต้องการให้มีเสียงดังมาก รบกวนคนอื่น

*คันเหยียบอันขวาสุด = คันเหยียบอันนี้มักจะถูกใช้บ่อย ๆ ซึ่งคำว่า pedal หรือ sustain ที่เราใช้เรียกอุปกรณ์ชิ้นนี้นั้นก็มาจากการทำงานของคันเหยียบตัวนี้ นั่นคือมันมีไว้เพื่อลากเสียงของโน้ตให้ยาวขึ้น คือเมื่อเรากดคีย์เปียโน 1 ครั้งและยกมือออกจากคีย์ เสียงก็จะหยุดทันที แต่คันเหยียบตัวนี้จะทำให้เกิดโน้ตที่มีเสียงยาวขึ้นโดยที่เราไม่ต้องกดมือค้างไว้ เพื่อจะได้เล่นโน้ตตัวอื่นได้อีก ทำให้เกิด hamony ขึ้นในเพลง เพิ่มความก้องกังวาน และความไพเราะให้กับการบรรเลงเปียโนของเรามากขึ้น (การเหยียบคันเหยียบอันนี้ค้างไว้นาน ๆ นั้นไม่ได้ทำให้การบรรเลงเพลงไพเราะเลยทีเดียวนะครับ เพราะการเหยียบนาน ๆ ค้างไว้จะทำให้เสียงของโน้ตหลาย ๆ เสียงเกิดปนกัน ทำให้เกิดคู่เสียงอันไม่พึงประสงได้ เพราะฉะนั้นหากจะใช้คันเหยียบอันนี้ก็ต้องฝึกฝน ไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน)


วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Florence Nightingale



Florence Nightingale, the daughter of the wealthy landowner, William Nightingale of Embly Park, Hampshire, was born in Florence, Italy, on 12th May, 1820. Her father was a Unitarian and a Whig who was involved in the anti-slavery movement. As a child, Florence was very close to her father, who, without a son, treated her as his friend and companion. He took responsibility for her education and taught her Greek, Latin, French, German, Italian, history, philosophy and mathematics.

At seventeen she felt herself to be called by God to some unnamed great cause. Florence's mother, Fanny Nightingale, also came from a staunch
Unitarian
family. Fanny was a domineering woman who was primarily concerned with finding her daughter a good husband. She was therefore upset by Florence's decision to reject Lord Houghton's offer of marriage. Florence refused to marry several suitors, and at the age of twenty-five told her parents she wanted to become a nurse. Her parents were totally opposed to the idea as nursing was associated with working class women.

Florence's desire to have a career in medicine was reinforced when she met
Elizabeth Blackwell at St. Bartholomew's Hospital in London
. Blackwell was the first woman to qualify as a doctor in the United States. Blackwell, who had to overcome considerable prejudice to achieve her ambition, encouraged her to keep trying and in 1851 Florence's father gave her permission to train as a nurse.

Florence, now thirty-one, went to Kaiserwerth, Germany where she studied to become a nurse at the Institute of Protestant Deaconesses. Two years later she was appointed resident lady superintendent of a hospital for invalid women in Harley Street,
London.






In March, 1853, Russia invaded Turkey. Britain and France, concerned about the growing power of Russia, went to Turkey's aid. This conflict became known as the Crimean War. Soon after British soldiers arrived in Turkey, they began going down with cholera and malaria. Within a few weeks an estimated 8,000 men were suffering from these two diseases.


William Howard Russell, who worked for The Times, reported the Siege of Sevastopol. He found Lord Raglan uncooperative and wrote to his editor, John Thadeus Delane alleging unfairly that "Lord Raglan is utterly incompetent to lead an army". Roger T. Stearn has argued: "Unwelcomed and obstructed by Lord Raglan, senior officers (except de Lacy Evans), and staff, yet neither banned, controlled, nor censored, William Russell made friends with junior officers, and from them and other ranks, and by observation, gained his information. He wore quasi-military clothes and was armed, but did not fight. He was not a great writer but his reports were vivid, dramatic, interesting, and convincing.... His reports identified with the British forces and praised British heroism. He exposed logistic and medical bungling and failure, and the suffering of the troops."


Russell's reports revealled the sufferings of the British Army during the winter of 1854-1855. These accounts upset Queen Victoria who described them as these "infamous attacks against the army which have disgraced our newspapers". Prince Albert, who took a keen interest in military matters, commented that "the pen and ink of one miserable scribbler is despoiling the country." Lord Raglan complained that Russell had revealed military information potentially useful to the enemy.


William Howard Russell reported that British soldiers began going down with cholera and malaria. Within a few weeks an estimated 8,000 men were suffering from these two diseases. When Mary Seacole heard about the cholera epidemic she travelled to London to offer her services to the British Army. There was considerable prejudice against women's involvement in medicine and her offer was rejected. When Russell publicised the fact that a large number of soldiers were dying of cholera there was a public outcry, and the government was forced to change its mind. Florence Nightingale volunteered her services and was eventually given permission to take a group of thirty-eight nurses to Turkey.

Nightingale found the conditions in the army hospital in Scutari appalling. The men were kept in rooms without blankets or decent food. Unwashed, they were still wearing their army uniforms that were "stiff with dirt and gore". In these conditions, it was not surprising that in army hospitals, war wounds only accounted for one death in six. Diseases such as typhus, cholera and dysentery were the main reasons why the death-rate was so high amongst wounded soldiers.

Military officers and doctors objected to Nightingale's views on reforming military hospitals. They interpreted her comments as an attack on their professionalism and she was made to feel unwelcome. Nightingale received very little help from the military until she used her contacts at The Times to report details of the way that the British Army treated its wounded soldiers. John Delane, the editor of newspaper took up her cause, and after a great deal of publicity, Nightingale was given the task of organizing the barracks hospital after the battle of Inkerman and by improving the quality of the sanitation she was able to dramatically reduce the death-rate of her patients.


Although Mary Seacole was an expert at dealing with cholera, her application to join Florence Nightingale's team was rejected. Mary, who had become a successful business woman in Jamaica, decided to travel to the Crimea at her own expense. She visited Nightingale at her hospital at Scutari but once again Mary's offer of help was refused.


Unwilling to accept defeat, Mary Seacole started up a business called the British Hotel, a few miles from the battlefront. Here she sold food and drink to the British soldiers. With the money she earned from her business Mary was able to finance the medical treatment she gave to the soldiers.


Whereas Florence Nightingale and her nurses were based in a hospital several miles from the front, Mary Seacole treated her patients on the battlefield. On several occasions she was found treating wounded soldiers from both sides while the battle was still going on.


In 1856 Florence Nightingale returned to England as a national heroine. She had been deeply shocked by the lack of hygiene and elementary care that the men received in the British Army. Nightingale therefore decided to begin a campaign to improve the quality of of nursing in military hospitals. In October, 1856, she had a long interview with Queen Victoria and Prince Albert and the following year gave evidence to the 1857 Sanitary Commission. This eventually resulted in the formation of the Army Medical College.

To spread her opinions on reform, Nightingale published two books, Notes on Hospital (1859) and Notes on Nursing (1859). With the support of wealthy friends and John Delane at The Times, Nightingale was able to raise £59,000 to improve the quality of nursing. In 1860, she used this money to found the Nightingale School & Home for Nurses at St. Thomas's Hospital. She also became involved in the training of nurses for employment in the workhouses that had been established as a result of the 1834 Poor Law Amendment Act.

Nightingale held strong opinions on women's rights. In her book Suggestions for Thought to Searchers after Religious Truths (1859) she argued strongly for the removal of restrictions that prevented women having careers. Read by John Stuart Mill, it influenced his book on women's rights, The Subjection of Women (1869).

Nightingale was also strongly opposed to the passing of the Contagious Diseases Act. However, Nightingale was unwilling to become involved in the campaign led by Josephine Butler to get this legislation repealed. Nightingale preferred working behind the scenes to get laws changed and disapproved of women making speeches in public.


Women such as Elizabeth Garrett Anderson and Sophia Jex-Blake were disappointed by Nightingale's lack of support for women's doctors. Nightingale had doubts at first about the wisdom of this campaign and argued that it was more important to have better trained nurses than women doctors.

In later life Florence Nightingale suffered from poor health and in 1895 went blind. Soon afterwards, the loss of other faculties meant she had to receive full-time nursing. Although a complete invalid she lived another fifteen years before her death in London on 13th August, 1910.




( http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/REnightingale.htm )







วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Sainte Catherine

Sainte Catherine la plus célèbre




Catherine d'Alexandrie, fêtée le 25 novembre,patronne des barbiers, charrons, cordiers, drapiers, écoliers et étudiants, fileuses de laine, généalogistes, meuniers, notaires, nourrices, orateurs, philosophes, plombiers, potiers, prêcheurs, rémouleurs, tailleurs, théologiens, tourneurs et des filles à marier.


Traditions





  • Le jour de sa fête, on fait cuire au Canada une sucrerie à base de mélasse, la tire de la Sainte-Catherine.



  • Autrefois, les statues de sainte Catherine placées dans les églises étaient ornées d'une coiffe qui était renouvelée chaque année. Cette opération était le privilège des jeunes femmes âgées de plus de 25 ans et encore célibataires. Ainsi l'expression « elle va coiffer sainte Catherine » signifiait que la jeune femme en question n'avait toujours pas trouvé de mari. Cette dernière pouvait alors implorer la sainte avec la prière suivante : « Sainte Catherine, aide-moi. Ne me laisse pas mourir célibataire. Un mari, sainte Catherine, un bon, sainte Catherine ; mais plutôt un que pas du tout ».
    Elle était alors appelée « reine Sainte-Catherine ». Les hommes, dans quelques régions, pouvaient aussi implorer sainte Catherine, mais c'est beaucoup plus rare. Ils étaient alors appelés « roi de la Sainte-Catherine » ou « roi Sainte-Catherine ».
    Actuellement, dans certaines régions, il arrive que l'on rencontre le 25 novembre des jeunes femmes portant des chapeaux multicolores (où dominent parfois le vert et le jaune) visiblement fabriqués pour la circonstance. Ce sont des catherinettes qui fêtent gaiement l'événement.



  • En Franche-Comté, la Sainte Catherine est encore fêtée : de grandes foires agricoles ont lieu, notamment à Vesoul (Haute-Saône). La plupart des pâtissiers vendent aussi du pain d'épices de la Ste Catherine (au chocolat) dont le fameux cochon avec son sifflet à la place de la queue. La Sainte Catherine à Vesoul