วันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เปียโน

เปียโน เป็นเครื่องดนตรีขนาดใหญ่ที่สร้างเสียงเมื่อคีย์ถูกกดและกลไกภายในเครื่องตีสาย คำว่าเปียโนเป็นตัวย่อของคำว่า ปีอาโนฟอเต(pianoforte)-ออกเสียงว่า (ปี-อ๊า-โน่-ฟอ-เต้) ซึ่งเป็นคำภาษาอิตาเลียนที่แปลว่า "เบาดัง" มาจากความสามารถของเปียโนที่จะปรับความดังเบาตามแรงที่กดคีย์ ในฐานะเครื่องสาย เปียโนมีความคล้ายคลึงกับคลาวิคอร์ด (clavichord) และฮาร์ปซิคอร์ด (harpsichord) จะแตกต่างกันเพียงวิธีการสร้างเสียง สายฮาร์พซิคอร์ดจะถูกดีดหรือเกาโดยขนนก ส่วนสายของคลาวิคอร์ดจะถูกเคาะด้วยกลไกที่จะยังคงสัมผัสกับสายอยู่ตลอดเวลาหลังการเคาะ เพื่อบังคับความถี่ของการสั่น ส่วนสายเปียโนถูกเคาะด้วยลิ่มที่สะท้อนกลับในทันที เพื่อให้เกิดการสั่นของสายอย่างเป็นอิสระ เปียโนเป็นเครื่องดนตรีที่ำสำคัญในดนตรีคลาสสิกตะวันตก ดนตรีแจ๊ซ ภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และดนตรีอีกหลายรูปแบบ เปียโนยังเป็นเครื่องดนตรีที่ได้รับความนิยมอย่างสูงในหมู่ชนชั้นกลางและชนชั้นสูง





เปียโนในยุคแรกเริ่ม



เปียโนถูกคิดค้นขึ้นที่เมืองฟลอเรนซ์ ประเทศอิตาลี โดยบาร์โทโลเมโอ คริสโตโฟรี. รายละเอียดเวลาที่คริสโตโฟรีประดิษฐ์เปียโนเครื่องแรกนั้นไม่ชัดเจน แต่จากบันทึกของครอบครัวเมดิชิ ผู้ที่ว่าจ้างคริสโตโฟรี ปรากฏว่ามีเปียโนตั้งแต่ปี ค.ศ. 1700 คริสโตโฟรีสร้างเปียโนอีก 20 เครื่องก่อนที่เขาจะเสียชีวิตในปี ค.ศ. 1731 และเปียโน 3 ตัวของเขาที่ยังคงอยู่ในปัจจุบันย้อนมาจากช่วงปี ค.ศ. 1720 เปียโน เหมือนการพัฒนาทางเทคโนโลยีอื่นๆ มีรากฐานมาจากพัฒนาการของฮาร์ปซิคอร์ดตลอดหลายศตวรรษ ซึ่งรวมถึงขั้นตอนการผลิตแผ่นขยายเสียง โครง และ คีย์บอร์ด. คริสโตโฟรีเองก็เป็นผู้ผลิตฮาร์พซิคอร์ด ความสำเร็จใหม่ที่สำคัญของคริสโตโฟรีคือการให้ค้อนตีสายเปียโนโดยไม่ค้างอยู่กับสาย (เพื่อให้เสียงที่ชัด). นอกจากนั้น ตัวค้อนยังจำเป็นที่จะต้องกลับสู่ตำแหน่งเดิมโดยไม่ดีดหรือเด้งอย่างรุนแรง และที่สำคัญ เปียโนยังจำเป็นที่จะเล่นโนต์ที่รัวได้ เปียโนตัวแรกๆ ของคริสโตโฟรีทำขึ้นมาด้วยสายที่บางกว่าเปียโนปัจจุบัน ทำให้เสียงนั้นเบากว่าเปียโนปัจจุบันมาก. แต่เมื่อเทียบกับคลาวิคอร์ด (เครื่องดนตรีเพียงชนิดเดียวในยุคนั้นที่สามารถควบคุมความเบาหรือดัง) เปียโนมีความดังมากกว่า เครื่องดนตรีใหม่นี้ไม่ได้รับความสนใจมากนักจนนักเขียนชาวอิตาลีนามว่าสกีปีโอเน่ มาเฟอี (Scipione Maffei) ได้เขียนและตีพิมพ์บทความ (ค.ศ. 1711) ที่พูดอย่างน่าตื่นตาตื่นใจถึงข้อดีของเปียโน. มาเฟอีได้รวมแบบของเปียโนไว้ในบทความ และกระตุ้นให้ผู้ผลิตอื่นๆ เริ่มที่จะสร้างเปียโนตามแบบของคริสโตโฟรี หนึ่งในผู้ผลิตนี้คือกอตต์เฟรด ซิลเบอร์แมน (Gottfried Silbermann) ซึ่งมีชื่อเสียงในฐานะผู้ผลิตออร์แกน. เปียโนของซิลเบอร์แมนแทบจะเป็นการเลียนแบบของคริสโตโฟรี ยกเว้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ คือคันเหยียบที่ยกแดมเปอร (์Damper Pedal) ออกจากทุกสายในเวลาเดียวกัน. หลังจากนั้น เปียโนส่วนมากก็นำสิ่งประดิษย์ของซิลเบอร์แมนมาใช้. ซิลเบอร์แมนได้นำเปียโนของเขาไปแสดงให้โยฮัน เซบาสเตียน บาค (Johann Sebastian Bach) ในช่วงปี ค.ศ. 1730 แต่บาคก็แสดงความไม่ชอบใจที่โน้ตสูงของเปียโนยังคงเบาและไม่สามารถให้ความไพเราะอย่างเต็มที่. ซิลบอร์แมนจึงได้พัฒนาเปียโนเพิ่มขึ้นอีก จนบาคให้ความเห็นด้วยกับเปียโนของซิบเบอร์แมนราวปี ค.ศ. 1747 การผลิตเปียโนเข้าสู่ยุครุ่งเรืองในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 โดยเฉพาะในหมู่ผู้ผลิตเปียโนแห่งกรุงเวียนนา ซึ่งรวมถึงโยฮัน แอนเดรียส สไตน (Johann Andreas Stein) และแนนเนต์ สไตน (Nannette Stein) ลูกสาวของโยฮัน แอนเดรียส. เปียโนเวียนนานั้นมีโครงไม้ สายสองเส้นต่อโน้ต และค้อนหนัง. นักประพันธ์ชื่อดังอย่างโวล์ฟกัง อะมาเดอุส โมซาร์ท (Wolfgang Amadeus Mozart) เองก็ได้ประพันธ์เพลงเพื่อเล่นบนเปียโนชนิดนี้. เปียโนในยุคของโมซาร์ทนั้นมีเสียงที่ใสกว่าปัจจุบัน ซึ่งจะทำให้มีพลังเสียงน้อยกว่าเปียโนในปัจจุบัน ในปัจจุบัน คำว่าฟอร์เตเปียโน (fortepiano) ใช้แยกแยะระหว่างเปียโนยุคคริสต์ศตวรรษที่ 18 และเปียโนในปัจจุบัน



ประเภทเปียโน



เปียโนในปัจจุบันมีรูปแบบสองรูปแบบ คือเปียโนตั้งตรงและแกรนด์เปียโน




แกรนด์เปียโน(Grand)เป็นเปียโนที่มีสายและโครงวางในแนวนอน โดยที่สายเสียงนั้นจะถูกขึงออกจากคีย์บอร์ด ซึ่งทำให้มีเสียงและลักษณะที่ต่างออกไปจากเปียโนตั้งตรงแต่จะใช้ที่ทางมาก ทั้งยังจำเป็นต้องหาห้องที่มีการสะท้อนเสียงที่พอเหมาะสำหรับคุณภาพเสียงที่ดีที่สุด ในบรรดาแกรนด์เปียโนเองยังมีหลายขนาดและประเภท ซึ่งอาจจะแตกต่างกันตามผู้ผลิตหรือรุ่น แต่ก็ยังสามารถแบ่งเป็นประเภทใหญ่ๆ เช่น คอนเสิร์ตแกรนด์ ที่มีขนาดประมาน 3 เมตร แกรนด์ ที่มีขนาดประมาน 1.8 เมตร หรือ เบบี้แกรนด์ ที่มักจะสั้นกว่าความกว้าง. เปียโนที่มีความยาวจะสร้างเสียงที่ดีกว่าและเพี้ยนน้อยกว่าเปียโนเครื่องอื่นๆ แกรนด์เปียโนใหญ่จึงเป็นที่นิยมใช้ในคอนเสิร์ต อัพไรท์เปียโน(Upright)เป็นเปียโนที่มีสายและโครงวางในแนวตั้ง และขึงสายเปียตั้งแต่ด้านล่างจนถึงด้านบนของเปียโน แต่เปียโนประเภทนี้ไม่สามารถควบคุมการสร้างเสียงได้นุ่มนวลเท่าแกรนด์เปียโน อย่างไรก็ตาม ปัจจุบันเทคโนโลยีเปียโนตั้งตรงได้พัฒนาคุณภาพเสียงมากขึ้น โดยการปรับปรุงโครงสร้างใภยในให้ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น ทำให้ได้คุณภาพเสียงที่ดีขึ้นโดยใช้พื้นที่ในการตั้งวางน้อยกว่าแกรนด์ แต่ให้เสียงที่ใกล้เคียงมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1863 เฮนรี ฟอร์โนว์ (Henry Fourneaux) ประดิษฐ์เปียโนที่สามารถเล่นตัวเองได้ (player piano) โดยใช้ม้วนเหล็กที่เดินเครื่องกลในตัวเปียโน ตั้งแต่ทศวรรษ 1980 เริ่มมีการผลิตเปียโนดิจิตัลขึ้นใช้ โดยเลียนแบบเสียงของเปียโน เปียโนประเภทนี้เริ่มที่จะมีความซับซ้อนและการทำงานที่มากขึ้น โดยสามารถเลียนแบบชิ้นส่วนของเปียโนจริง เช่น น้ำหนักคีย์บอร์ด คันเหยียบ และเสียงเครื่องดนตรีอื่น อย่างไรก็ตาม เทคโนโลยีปัจจุบันยังไม่สามารถที่จะทดแทนเปียโนเครื่องจริง



คีย์บอร์ด



เปียโนสมัยใหม่เกือบทุกตัวจะมี 88 คีย์ (มากกว่า 7 Octave เล็กน้อย เรียงลำดับตั้งแต่ A0 ถึง C8) เปียโนรุ่นเก่าหลายตัวมีเพียง 85 คีย์ (ตั้งแต่ A0 ถึง A7) ผู้ผลิตบางรายก็อาจจะเพิ่มปริมาณคีย์ให้มากกว่านั้น โดยบ้างก็เพิ่มเพียงฝั่งเดียวก็เพิ่มทั้งสองฝั่ง ตัวอย่างที่ดีที่สุดก็คือเปียโนBösendorfer ซึ่งบางตัวเพิ่มคีย์เสียงต่ำลงไปกว่าปกติจนถึง F0 บางทีต่ำลงไปจนถึง C0 เลยก็มี ทำให้มีครบ 8 octave บางรุ่นอาจจะซ่อนคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมานี้ไว้ใต้ฝาปิดเล็กๆ ซึ่งสามารถปิดคีย์เอาไว้ได้เพื่อป้องกันไม่ให้นักเปียโนที่คุ้นกับเปียโนปกติเห็นแล้วเกิดความสับสนกับคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมา บางตัวก็อาจจะสลับสีคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมาเหล่านี้ (สลับดำเป็นขาว ขาวเป็นดำ) ด้วยเหตุผลเดียวกันนั่นเอง คีย์ที่เพิ่มขึ้นมานั้นโดยมากแล้วก็มีไว้เพื่อสร้างเสียงสะท้อน (resonance) ได้มากขึ้น ซึ่งก็คือมันจะสั่นไปพร้อมกับสายเปียโนเส้นอื่นๆ เมื่อใดก็ตามที่เหยียบคันเหยียบ ซึ่งก็จะให้เสียงได้เต็มกว่า มีเพลงที่แต่งขึ้นมาสำหรับเปียโนไม่กี่เพลงนักที่จะใช้คีย์พิเศษเหล่านี้ ไม่นานมานี้ บริษัท Stuart and Sons ได้ผลิตเปียโนที่มีคีย์มากกว่าปกติออกมาเช่นกัน เปียโนของบริษัทนี้จะเพิ่มคีย์เสียงแหลมขึ้นไปจนถึง 8 octave เต็ม ซึ่งคีย์พิเศษที่เพิ่มขึ้นมาก็ดูเหมือนคีย์ปกติทุกประการ สำหรับการจัดเรียงคีย์บนเปียโน ให้ดูในหมวด Musical keyboard การจัดเรียงเช่นนี้ได้แบบมาจาก harpsichord โดยไม่ผิดเพี้ยน เว้นแต่สีของลิ่มคีย์ (สีขาวสำหรับเสียงปกติ และสีดำสำหรับชาร์ป sharps) ซึ่งกลายมาเป็นมาตรฐานสำหรับเปียโนในตอนปลายศตวรรษที่ 18



คันเหยียบ



เปียโนมีการใช้คันเหยียบหรืออุปกรณ์ที่มีลักษณะใกล้มาตั้งแต่ยุคต้นๆ (ในคริสต์ศตวรรษที่ 18เปียโนบางตัวใช้แท่นแทนคันเหยียบ โดยให้ผู้เล่นใช้เข่าดันขึ้น คันเหยียบสามประเภทซึ่งได้กลายมาเป็นมาตรฐานในเปียโนปัจจุบัน ได้แก่ คันเหยียบ damper pedal (บ้างก็เรียก sustain pedal หรือ loud pedal) มักจะถูกเรียกว่า "the pedal" เฉยๆเพราะว่าเป็นคันเหยียบที่ถูกใช้งานมากที่สุด ซึ่งเป็นคันเหยียบที่อยู่ทางขวาสุด คันเหยียบที่พบเห็นโดยมากที่ติดอยู่กับเปียโนนั้นโดยส่วนมากจะมีอยู่ 3 อัน ในเปียโนบางตัวจะมี 2 อัน โดยจะเทียบได้เท่ากับ อันซ้ายสุดและอันขวาสุดของเปียโนที่มี 3 อัน ซึ่งจะช่วยให้การเล่นเปียโนนั้นมี dynamic ต่าง ๆ กันได้แก่

*คันเหยียบอันซ้ายสุด = มีไว้เพื่อลดความดังของเปียโน ในแกรนด์เปียโน เมื่อเราเหยียบคันเหยียบอันนี้แล้ว ชุดของคีย์บอร์ดรวมทั้งไม้ฆ้อนจะขยับไปทางซ้ายหรือทางขวาเล็กน้อย เพื่อให้ไม้ฆ้อนตีถูกสายเพียงครึ่งเดียว (ปกติเปียโนจะมีสาย 1 ถึง 3 เส้น ต่อ 1 คีย์) ทำให้เสียงเบาลง ซึ่งเป็นที่มาของคำว่า (Una Corda แปลว่า สายเส้นเดียว) ส่วนในอัพไรท์เปียโน เมื่อเราเหยียบคันเหยียบอันนี้แล้ว จะมีคานมาดันชุดไม้ฆ้อนให้ขยับเข้าไปใกล้กับสายมากขึ้น ทำให้เมื่อกดคีย์แล้ว ไม้ฆ้อนจะเหวี่ยงตัวได้น้อยกว่าปกติ แรงที่เคาะสายจึงน้อยลงด้วย ผลที่ตามมาก็คือ เสียงที่ค่อยกว่า และนุ่มนวลกว่า และจะได้เสียงที่นุ่มลงกว่าเดิม แต่เมื่อเรายกเท้าจากคันเหยียบอันนี้เสียงเปียโนก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิม



*คันเหยียบอันกลาง = ในแกรนด์เปียโนเรียกว่า sostenuto pedal เมื่อเหยียบแล้ว จะดำรงเสียงของตัวโน้ตที่กดไว้ก่อนเหยียบคันเหยียบนี้เท่านั้น โดย damper จะเปิดขึ้น (โน้ตอื่นๆ ที่กดหลังจากเหยียบคันเหยียบ damper จะทำงานปกติ ทำให้เสียงสิ้นสุดเมื่อปล่อยนิ้ว) ส่วนในอัพไรท์เปียโน เรียกว่า soft pedal มีไว้เพื่อลดความดังของเปียโน เมื่อเราเหยียบคันเหยียบอันนี้แล้ว จะมีผ้ามากั้นระหว่างฆ้อนกับสาย เพราะฉะนั้นเมื่อเรากดคีย์ เสียงที่ได้จะเบาลง คันเหยีบบอันนี้มีความพิเศษก็คือ มันจะมีช่องสำหรับให้คันเหยียบอันนี้ค้างอยู่ได้ จึงทำให้เราไม่ต้องเมื่อยเมื่อต้องใช้เสียงเบา หรือต้องการใช้ dynamic แบบนี้นาน ๆ ได้ และเรายังสามารถปรับความดัง-เบา นุ่มลึกได้โดยการปรับระดับของแผ่นผ้าที่เคลื่อนลงมากั้นระหว่างฆ้อนเมื่อจะเคาะสายเปียโนได้อีกด้วย (แต่การปรับนั้นต้องเปิดฝาข้างล่างของเปียโนก่อน) ในอัพไรท์เปียโนมักใช้คันเหยียบนี้ในการซ้อมเปียโนเวลาไม่ต้องการให้มีเสียงดังมาก รบกวนคนอื่น

*คันเหยียบอันขวาสุด = คันเหยียบอันนี้มักจะถูกใช้บ่อย ๆ ซึ่งคำว่า pedal หรือ sustain ที่เราใช้เรียกอุปกรณ์ชิ้นนี้นั้นก็มาจากการทำงานของคันเหยียบตัวนี้ นั่นคือมันมีไว้เพื่อลากเสียงของโน้ตให้ยาวขึ้น คือเมื่อเรากดคีย์เปียโน 1 ครั้งและยกมือออกจากคีย์ เสียงก็จะหยุดทันที แต่คันเหยียบตัวนี้จะทำให้เกิดโน้ตที่มีเสียงยาวขึ้นโดยที่เราไม่ต้องกดมือค้างไว้ เพื่อจะได้เล่นโน้ตตัวอื่นได้อีก ทำให้เกิด hamony ขึ้นในเพลง เพิ่มความก้องกังวาน และความไพเราะให้กับการบรรเลงเปียโนของเรามากขึ้น (การเหยียบคันเหยียบอันนี้ค้างไว้นาน ๆ นั้นไม่ได้ทำให้การบรรเลงเพลงไพเราะเลยทีเดียวนะครับ เพราะการเหยียบนาน ๆ ค้างไว้จะทำให้เสียงของโน้ตหลาย ๆ เสียงเกิดปนกัน ทำให้เกิดคู่เสียงอันไม่พึงประสงได้ เพราะฉะนั้นหากจะใช้คันเหยียบอันนี้ก็ต้องฝึกฝน ไม่ยากเกินความสามารถแน่นอน)


วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Florence Nightingale



Florence Nightingale, the daughter of the wealthy landowner, William Nightingale of Embly Park, Hampshire, was born in Florence, Italy, on 12th May, 1820. Her father was a Unitarian and a Whig who was involved in the anti-slavery movement. As a child, Florence was very close to her father, who, without a son, treated her as his friend and companion. He took responsibility for her education and taught her Greek, Latin, French, German, Italian, history, philosophy and mathematics.

At seventeen she felt herself to be called by God to some unnamed great cause. Florence's mother, Fanny Nightingale, also came from a staunch
Unitarian
family. Fanny was a domineering woman who was primarily concerned with finding her daughter a good husband. She was therefore upset by Florence's decision to reject Lord Houghton's offer of marriage. Florence refused to marry several suitors, and at the age of twenty-five told her parents she wanted to become a nurse. Her parents were totally opposed to the idea as nursing was associated with working class women.

Florence's desire to have a career in medicine was reinforced when she met
Elizabeth Blackwell at St. Bartholomew's Hospital in London
. Blackwell was the first woman to qualify as a doctor in the United States. Blackwell, who had to overcome considerable prejudice to achieve her ambition, encouraged her to keep trying and in 1851 Florence's father gave her permission to train as a nurse.

Florence, now thirty-one, went to Kaiserwerth, Germany where she studied to become a nurse at the Institute of Protestant Deaconesses. Two years later she was appointed resident lady superintendent of a hospital for invalid women in Harley Street,
London.






In March, 1853, Russia invaded Turkey. Britain and France, concerned about the growing power of Russia, went to Turkey's aid. This conflict became known as the Crimean War. Soon after British soldiers arrived in Turkey, they began going down with cholera and malaria. Within a few weeks an estimated 8,000 men were suffering from these two diseases.


William Howard Russell, who worked for The Times, reported the Siege of Sevastopol. He found Lord Raglan uncooperative and wrote to his editor, John Thadeus Delane alleging unfairly that "Lord Raglan is utterly incompetent to lead an army". Roger T. Stearn has argued: "Unwelcomed and obstructed by Lord Raglan, senior officers (except de Lacy Evans), and staff, yet neither banned, controlled, nor censored, William Russell made friends with junior officers, and from them and other ranks, and by observation, gained his information. He wore quasi-military clothes and was armed, but did not fight. He was not a great writer but his reports were vivid, dramatic, interesting, and convincing.... His reports identified with the British forces and praised British heroism. He exposed logistic and medical bungling and failure, and the suffering of the troops."


Russell's reports revealled the sufferings of the British Army during the winter of 1854-1855. These accounts upset Queen Victoria who described them as these "infamous attacks against the army which have disgraced our newspapers". Prince Albert, who took a keen interest in military matters, commented that "the pen and ink of one miserable scribbler is despoiling the country." Lord Raglan complained that Russell had revealed military information potentially useful to the enemy.


William Howard Russell reported that British soldiers began going down with cholera and malaria. Within a few weeks an estimated 8,000 men were suffering from these two diseases. When Mary Seacole heard about the cholera epidemic she travelled to London to offer her services to the British Army. There was considerable prejudice against women's involvement in medicine and her offer was rejected. When Russell publicised the fact that a large number of soldiers were dying of cholera there was a public outcry, and the government was forced to change its mind. Florence Nightingale volunteered her services and was eventually given permission to take a group of thirty-eight nurses to Turkey.

Nightingale found the conditions in the army hospital in Scutari appalling. The men were kept in rooms without blankets or decent food. Unwashed, they were still wearing their army uniforms that were "stiff with dirt and gore". In these conditions, it was not surprising that in army hospitals, war wounds only accounted for one death in six. Diseases such as typhus, cholera and dysentery were the main reasons why the death-rate was so high amongst wounded soldiers.

Military officers and doctors objected to Nightingale's views on reforming military hospitals. They interpreted her comments as an attack on their professionalism and she was made to feel unwelcome. Nightingale received very little help from the military until she used her contacts at The Times to report details of the way that the British Army treated its wounded soldiers. John Delane, the editor of newspaper took up her cause, and after a great deal of publicity, Nightingale was given the task of organizing the barracks hospital after the battle of Inkerman and by improving the quality of the sanitation she was able to dramatically reduce the death-rate of her patients.


Although Mary Seacole was an expert at dealing with cholera, her application to join Florence Nightingale's team was rejected. Mary, who had become a successful business woman in Jamaica, decided to travel to the Crimea at her own expense. She visited Nightingale at her hospital at Scutari but once again Mary's offer of help was refused.


Unwilling to accept defeat, Mary Seacole started up a business called the British Hotel, a few miles from the battlefront. Here she sold food and drink to the British soldiers. With the money she earned from her business Mary was able to finance the medical treatment she gave to the soldiers.


Whereas Florence Nightingale and her nurses were based in a hospital several miles from the front, Mary Seacole treated her patients on the battlefield. On several occasions she was found treating wounded soldiers from both sides while the battle was still going on.


In 1856 Florence Nightingale returned to England as a national heroine. She had been deeply shocked by the lack of hygiene and elementary care that the men received in the British Army. Nightingale therefore decided to begin a campaign to improve the quality of of nursing in military hospitals. In October, 1856, she had a long interview with Queen Victoria and Prince Albert and the following year gave evidence to the 1857 Sanitary Commission. This eventually resulted in the formation of the Army Medical College.

To spread her opinions on reform, Nightingale published two books, Notes on Hospital (1859) and Notes on Nursing (1859). With the support of wealthy friends and John Delane at The Times, Nightingale was able to raise £59,000 to improve the quality of nursing. In 1860, she used this money to found the Nightingale School & Home for Nurses at St. Thomas's Hospital. She also became involved in the training of nurses for employment in the workhouses that had been established as a result of the 1834 Poor Law Amendment Act.

Nightingale held strong opinions on women's rights. In her book Suggestions for Thought to Searchers after Religious Truths (1859) she argued strongly for the removal of restrictions that prevented women having careers. Read by John Stuart Mill, it influenced his book on women's rights, The Subjection of Women (1869).

Nightingale was also strongly opposed to the passing of the Contagious Diseases Act. However, Nightingale was unwilling to become involved in the campaign led by Josephine Butler to get this legislation repealed. Nightingale preferred working behind the scenes to get laws changed and disapproved of women making speeches in public.


Women such as Elizabeth Garrett Anderson and Sophia Jex-Blake were disappointed by Nightingale's lack of support for women's doctors. Nightingale had doubts at first about the wisdom of this campaign and argued that it was more important to have better trained nurses than women doctors.

In later life Florence Nightingale suffered from poor health and in 1895 went blind. Soon afterwards, the loss of other faculties meant she had to receive full-time nursing. Although a complete invalid she lived another fifteen years before her death in London on 13th August, 1910.




( http://www.spartacus.schoolnet.co.uk/REnightingale.htm )







วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

Sainte Catherine

Sainte Catherine la plus célèbre




Catherine d'Alexandrie, fêtée le 25 novembre,patronne des barbiers, charrons, cordiers, drapiers, écoliers et étudiants, fileuses de laine, généalogistes, meuniers, notaires, nourrices, orateurs, philosophes, plombiers, potiers, prêcheurs, rémouleurs, tailleurs, théologiens, tourneurs et des filles à marier.


Traditions





  • Le jour de sa fête, on fait cuire au Canada une sucrerie à base de mélasse, la tire de la Sainte-Catherine.



  • Autrefois, les statues de sainte Catherine placées dans les églises étaient ornées d'une coiffe qui était renouvelée chaque année. Cette opération était le privilège des jeunes femmes âgées de plus de 25 ans et encore célibataires. Ainsi l'expression « elle va coiffer sainte Catherine » signifiait que la jeune femme en question n'avait toujours pas trouvé de mari. Cette dernière pouvait alors implorer la sainte avec la prière suivante : « Sainte Catherine, aide-moi. Ne me laisse pas mourir célibataire. Un mari, sainte Catherine, un bon, sainte Catherine ; mais plutôt un que pas du tout ».
    Elle était alors appelée « reine Sainte-Catherine ». Les hommes, dans quelques régions, pouvaient aussi implorer sainte Catherine, mais c'est beaucoup plus rare. Ils étaient alors appelés « roi de la Sainte-Catherine » ou « roi Sainte-Catherine ».
    Actuellement, dans certaines régions, il arrive que l'on rencontre le 25 novembre des jeunes femmes portant des chapeaux multicolores (où dominent parfois le vert et le jaune) visiblement fabriqués pour la circonstance. Ce sont des catherinettes qui fêtent gaiement l'événement.



  • En Franche-Comté, la Sainte Catherine est encore fêtée : de grandes foires agricoles ont lieu, notamment à Vesoul (Haute-Saône). La plupart des pâtissiers vendent aussi du pain d'épices de la Ste Catherine (au chocolat) dont le fameux cochon avec son sifflet à la place de la queue. La Sainte Catherine à Vesoul



วันจันทร์ที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ป่ากลางเมือง คอนโดรักษ์โลกจากมิลาน

เมื่อไอเดียเรื่องสวนแนวตั้งถูกนำมาใช้ในการสร้างที่อยู่อาศัย ผลพวงของการออกแบบเพื่อหาหนทางอยู่ร่วมกันให้ได้ระหว่างต้นไม้กับเมืองใหญ่ จึงได้ผลลัพท์ที่ลงตัวกว่าที่เคย ออกมาเป็นอาคารที่พักซึ่งทำหน้าที่เป็นสวนแนวตั้งเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้ดูสดใสสบายตา พร้อมทั้งเป็นปอดให้กับคนเมืองไปพร้อม ๆ กัน

ที่พักสีเขียวนี้มีชื่อว่า "บอสโก เวอร์ติคาเล" (Bosco Verticale) ออกแบบโดยนาย สเตฟาโน โบเอรี สถาปนิกชาวอิตาลีวัย 55 ปี ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากที่เขาได้พา โบเอรี สตูดิโอ บริษัทออกแบบตนเอง เข้าร่วมในโปรเจ็คท์การปลูกต้นไม้ภายในท้องถิ่น จึงได้เห็นความสำคัญของต้นไม้เขียว ๆ ว่ามันมีคุณค่าต่อการดำรงชีวิตของคนเราอย่างไร "บอสโก เวอร์ติคาเล" จึงไม่ได้เป็นแค่ตึกที่พักหรูกลางเมืองมิลาน ที่มีระเบียงสำหรับวางกระถางต้นไม้เท่านั้นแต่อาคารแฝดขนาด 27 ชั้น สูง 365 และ 260 ฟุต พร้อมจะเป็นที่พักอาศัยให้กับมนุษย์ ร่วมกับต้นไม้ 730 ต้น ไม้พุ่ม 5,000 ต้น และพืชคลุมดินอีกกว่า 10,000 ต้น เรียกได้ว่าพื้นผิวภายนอกอาคารกว่าร้อยละ 80 ปกคลุมไปด้วยพุมใบสีเขียว แทนที่จะเป็นสีของคอนกรีตอย่างตึกทั่ว ๆ ไป แถมต้นไม้เหล่านี้ยังช่วยกรองแสงจัดจ้าแบบแดดในแถบเมดิเตอร์เรเนียนไม่ให้ปะทะตัวอาคารโดยตรง ทำให้ภายในอาคารเย็นลงด้วย


นอกจากเรื่องการสร้างพื้นที่สีเขียวที่กลมกลืนไปกับการใช้ชีวิตแบบคอนโดมิเนียมแล้ว โบเอรี ยังคำนึงถึงความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่ง เพราะในตึกที่สูงขนาดนี้ แน่นอนว่าลมในชั้นสูง ๆ ย่อมแรงกว่าปกติ เขาจึงได้ทำการทดสอบต้นไม้หลากหลายชนิดว่าเพื่อหาว่าต้นไม้ชนิดใดที่เหมาะจะนำมาปลูก และต้านทานลงแรงในชั้นสูง ๆ ได้ โดยการทดสอบกับกังกันลมที่จำลองลมแรงจัด นอกจากนี้ยังบรรจงเลือกปลูกต้นไม้แต่ละชนิดให้เหมาะกับระดับความสูง และคำนึงถึงความต้องการแดดของต้นไม้แต่ละอย่างโดยเลือกปลูกให้อยู่ในด้านและมุมที่ถูกต้องของตัวอาคารอีกด้วย

อย่างไรก็ดี "บอสโก เวอร์ติคาเล" กำลังอยู่ระหว่างการก่อสร้างและมีกำหนดเสร็จสิ้นภายในปลายปี 2012 ส่วนใครที่สนใจจะเข้าอยู่สามารถเลือกเรตราคาได้ 2 แบบ คือ 560,000 ปอนด์ (27,036,800 บาท) สำหรับห้องพักขนาด 80 ตารางเมตร ที่อยู่บนชั้นความสูงระดับกลางถึงต่ำ และ 1.7 ล้านปอนด์ (82,076,000 บาท) สำหรับห้องพื้นที่ 200 ตารางเมตร บนชั้นสูง ๆ ที่สามารถชมวิวเมืองมิลานได้ถนัดตา และเมื่อถึงเวลานั้น "บอสโก เวอร์ติคาเล" คงไม่ใช่เพียงที่อยู่อาศัยสำหรับคนเท่านั้น แต่ยังรวมถึงนกและแมลงต่าง ๆ ที่ไม่อาจพบเห็นได้ง่ายในเมืองใหญ่อีกด้วย

เรียกว่าหากที่อยู่อาศัยสำหรับโลกในยุคสองพันซึ่งป่าคอนกรีตได้เข้ารุกพื้นที่ราบอันเคยเป็นผืนดินและต้นไม้ไปแทบจะหมดแล้ว เป็นเช่น "บอสโก เวอร์ติคาเล" ได้ทั้งหมด เราก็คงจะอยู่ร่วมกับธรรมชาติได้อย่างสบายมากกว่านี้






Credit kapook.com ^-^












วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2554

Paul Smith

Paul Smith (fashion designer)










Career

Smith left school at the age of 15, a member of Beeston Road Club his only ambition was to become a racing cyclist until his father hauled him off to work at a clothing warehouse. Smith had no real interest in his work during his first two years there except for the cycle journey to and from his home. A terrible cycling accident put an end to his cycling ambitions, and it was only then that Smith's career in fashion design began.He enjoyed his job and had forgotten everything about cycling. Six months in hospital followed and during this time Smith made some new friends. After leaving hospital he arranged to meet them all at a local pub that was popular with art students. It was then that Paul Smith knew he wanted to be part of this colourful world of ideas and excitement.


Paul Smith started to take evening classes for tailoring with Gordon Valentine Tipton in Nottinghamsire who showed him how to cut cloth as well as the basics. Later on Paul Smith joined Lincroft Kilgour in Savile Row after being spotted by chairman Harold Tillman, where his designs were worn by celebrities including footballer George Best. With the help of his then girlfriend (now wife) Pauline Denyer, who was an RCA fashion graduate, and a small amount of savings, he managed to open his first shop 10 Byard Lane, Nottingham in 1970. By 1976 Paul showed his first menswear collection in Paris, under the Paul Smith label. He gradually expanded the retail business, being the first fashion brand to open on Floral Street in London's Covent Garden in 1979, where his shop offered an eclectic combination of clothes and 'finds' for men which reflected his own magpie personality.







The international growth of his business began and most famously in Japan, where his British designs have been particularly popular, while he expanded into three adjacent stores on Floral Street. A converted town-house in Notting Hill, London opened in 1998 and is now his flagship shop, with the company's operational heart remaining between Nottingham and London. In 1998 Paul showed his first women's collection at London Fashion Week, the women's mainline collection continues to this day


Most recentlywithin the last 2 years, Smith has opened shops in Dubai, Bangalore, Leeds, Antwerp, Los Angeles and another shop in London, in addition to a brand new warehouse building in Nottingham.


Paul Smith remains fully involved in the business, designing clothes, choosing fabrics, approving the shop locations and overseeing every development within the company. He has showrooms in London, Paris, Milan, New York and Tokyo.At the moment he is working to design the London Olympics posters and signs.


The success of Smith's business may be attributed to his understanding of his dual roles of both designer and retailer; the success of his designs to his combination of the classic and the quirky. and which allows men to buy relatively traditional (and hence commercially popular) designs that offer a 'twist' of individuality. In September 2010 Smith opened his first standalone womenswear store in Mayfair, London.




Partnerships and other business pursuits



In 2007, Smith began working with the UK based boutique cycle clothing retailer, Rapha. Smith designed a range of cycle clothing in association with Rapha, including a jersey to celebrate the rare start of the Tour de France in London. Since May 2008 Paul Smith has written a fashion blog for Vogue.co.uk. Paul Smith provided suits for the Manchester United team in 2009.






Collections


Today there are 12 different collections; Paul Smith, Paul Smith Women, PS by Paul Smith, Paul Smith Jeans, Paul Smith London, R.Newbold (Japan only), Paul Smith Accessories, Paul Smith Shoes, Paul Smith Fragrance, Paul Smith Watches, Paul Smith Pens and Paul Smith furniture and ‘things’ Paul Smith rugs, china, spectacles and fragrance are made under license. Designed in Nottingham and London, the Paul Smith collections are primarily produced in England and Italy while the fabrics used are mainly of Italian, French and British origin. In 2002 Paul Smith collaborated with Cappellini to create the Mondo collection of furniture inspired by observation and travel. In 2003 Paul designed an upholstery textile in partnership with Maharam, called ‘Bespoke’, which was inspired by classic pinstripe suiting.

วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554

แมวเปอร์เซีย





แมวเปอร์เซีย ถือเป็นราชินีแมวจากแดนตะวันออกกลางที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก เพราะเป็นแมวขนยาว หน้าตาน่าเอ็นดู หัวกลมสวย ตากลมโต มีหลายสีขึ้นอยู่กับสายพันธุ์ รวมถึงหน้าตาก็มีหลายแบบ มีอุปนิสัยอ่อนโยน เข้ากับคนง่าย ร่าเริงซุกซน ชอบประจบประแจง และมีไหวพริบ ซึ่งแมวพันธุ์นี้นับเป็นแมวต่างประเทศที่ถูกนำเข้ามาเผยแพร่ในประเทศไทยเป็นพันธุ์แรกด้วย

แมวเปอร์เซียมีถิ่นกำเนิดอยู่แถบเปอร์เซีย หรือประเทศตุรกี และอิหร่านในปัจจุบัน โดยในปี ค.ศ. 1684 ได้มีการบันทึกลายลักษณ์อักษรเกี่ยวกับที่มาของ แมวเปอร์เซีย หรือแมวเปอร์เซียน (Persian Cats) ว่า พ่อค้าทะเลทราย (หรือที่เรียกว่ากองคาราวาน) ทางแถบๆ ตะวันตกของตุรกีและอิหร่าน มักบรรทุกสินค้ามากมาย อาทิเครื่องเทศน์ อัญมณี และสินค้ามีค่าอื่นๆ ซึ่งบางครั้งก็มีแมวขนยาวติดมาด้วย แมวขนยาวนั้นถูกซื้อโดยกะลาสีและได้นำแมวติดไปกับเรือสินค้าเดินทางเข้าทวีป ยุโรป ซึ่งหลายปีต่อมาแมวพันธุ์นั้นถูกรู้จักในชื่อ เตอร์กิส แองโกร่า (Turkish Angora)

ต่อมาในปลายศตวรรษที่ 19 ชาวอังกฤษเริ่มผสมพันธุ์แมวเตอร์กิส แองโกร่า กับแมวสายพันธุ์อื่น และพัฒนาจนได้แมวที่มีขนหนาและยาวกว่าเดิม กระทั่งในที่สุดแมวพันธุ์นี้ก็ได้รับการยอมรับและจดทะเบียนขึ้นที่ประเทศอังกฤษในชื่อว่า Longhair ซึ่งชื่อของมันก็ถูกตั้งขึ้นตามประเทศต้นกำเนิดนั่นเอง

นอกจากประเทศอังกฤษแล้ว แมวเปอร์เซียยังถูกนำไปเลี้ยงในประเทศต่างๆ ทั้งยุโรปและอเมริกามานานหลายร้อยปี ซึ่งอเมริกาจะเรียกแมวพันธุ์นี้ว่า Persian



ลักษณะสายพันธุ์

แมวเปอร์เซีย เป็นแมวที่มีขนาดกลางถึงขนาดใหญ่ มีกระดูกที่ใหญ่และแข็งแรง หัวและหน้ากลม หน้าผากโหนก แก้มเต็ม ดวงตากลมโต และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน มีจมูกที่หัก กล่าวคือ สังเกตได้ชัดเจนเมื่อมองจากด้านข้างจะเห็นจุดหักระหว่างจมูกกับหน้าผากชัดเจน เมื่อมองจากด้านหน้าจะเห็นเป็นขีดอยู่ระหว่างดวงตา

สำหรับแมวเปอร์เซียที่มีลักษณะตรงตามมาตรฐานสายพันธุ์ ควรจะมีจมูกอยู่ในระดับเดียวกับตา โครงสร้างลำตัวสั้น ขาสั้นเตี้ย หูเล็กมีปลายหูที่กลมมน และอยู่ในตำแหน่งที่ห่างกัน หางสั้นและตรง ไม่มีรอยหัก ขนยาวฟู มีท่วงท่าการเดินดูสง่างาม ทั้งนี้ แมวเปอร์เซียในสมัยแรกๆ มีรูปร่างหน้าตาที่ต่างจากแมวเปอร์เซียในปัจจุบันมากทีเดียว ปัจจุบันมันถูกพัฒนาให้มีรูปร่างที่สั้นขึ้น ขนยาวขึ้น ถูกเปลี่ยนแปลงโครงร่างให้ใหญ่และกลม จมูกสั้นและหักมากขึ้น




แมวเปอร์เซียถูกแบ่งออกเป็น 7 ชนิด โดยแบ่งตามสี และลักษณะเป็นหลัก ดังนี้


1.Solid colour ขนจะเป็นสีเดียวตลอดตัว ไม่ควรมีสีอื่นแซมเลย สีจะต้องเสมอกันตลอด เช่น white ขนสีขาวบริสุทธิ์, blue ขนสีเทาเข้ม, black สีขนดำสนิท, red ขนสีแดงเข้มและสดใส, cream ขนสีครีมเข้ม, chocolate ขนสีน้ำตาสช็อกโกแลต, lilac ขนสีลาเวนเดอร์


2.Sliver&Golden ตาจะเป็นสีเขียวหรือสีเขียวอมน้ำเงินเท่านั้น

3.Shade&Smoke จะมีสีขน 3 แบบ คือแบบ Shell จะมีสีที่ปลายขนเพียงเล็กน้อย แบบ Shade จะมีส่วนที่เป็นสีมากกว่า และแบบ Smoke จะมีสีมากกว่าแบบ Shade

4.Tabby
จะมีลวดลายที่เป็นที่ยอมรับอยู่ 2 แบบ คือ Classic และ Mackerel

5.Parti-colour จะเกิดขึ้นเฉพาะเพศเมียเท่านั้น อันสืบเนื่องมาจากการสืบทอดทางโครโมโซม

6.Calico & Bi-Color สีทั่วไปตาจะเป็นสีทองแดง ถ้าเป็นตาสองสีตาข้างหนึ่งจะเป็นสีฟ้า อีกข้างเป็นสีทองแดง ความเข้มของสีตาทั้งสองข้างเท่าๆ กัน

7.Himalayan เกิดจากการผสมข้ามสายพันธุ์ระหว่างแมวไทยวิเชียรมาสกับแมวเปอร์เซีย จะมีลักษณะแต้มสีตำแหน่งเดียวกับแมววิเชียรมาส คือหูทั้งสองข้าง ที่หน้าครอบเหมือนหน้ากาก ขาทั้งสี่ ตาสีฟ้าสดใส


อาหารและการเลี้ยงดู


เมื่อตัดสินใจจะเลี้ยงแมวพันธุ์นี้แล้ว จงพึงระลึกไว้เสมอว่า การดูแลขนของแมวเปอร์เซียเป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เลี้ยงต้องหมั่นทำความสะอาดถึงการแปลงและสางขนแมวอย่างสม่ำเสมอจะช่วยป้องกันการเกิดขนพันกัน เพราะการที่ขนพันกันเป็นกระจุกนั้นจะเป็นแหล่งเพาะเชื่อโรครวมทั้งพยาธิต่างๆ ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคผิวหนังอักเสบและเป็นที่อยู่ของเห็บหมัดอีกด้วย

ในเรื่องของอาหารการกินนั้น ควรเลือกอาหารที่ช่วยให้ทางเดินอาหารของแมวไม่อุดตัน เนื่องจากแมวเปอร์เซียจะใช้เวลาส่วนใหญ่ในการเลียทำความสะอาดขน อันเป็นสาเหตุในการกินหรือกลืนเส้นขนเข้าไปเป็นจำนวนมาก หากเส้นขนจะไปรวมตัวกันในช่องท้องจะทำให้แมวเปอร์เซียสำรอกหรือเกิดปัญหาของระบบย่อยอาหารได้




โรคและวิธีการป้องกัน

โรคที่พบบ่อยในแมวเปอร์เซียนั้นส่วนใหญ่จะเป็นโรคที่เกิดขึ้นและถ่ายทอดทางพันธุกรรม เช่น โรคหายใจขัด หอบ หรือ ท่อน้ำตาอุดตัน เป็นต้น นอกจากนี้ แมวเปอร์เซียที่มีสีขาวรวมถึงแมวเปอร์เซียที่มีตาสีฟ้าหรือตาข้างละสีมักมีความผิดปกติตั้งแต่กำเนิด คือ หูหนวก อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม โรคท่อน้ำตาอุดตัน และปัญหาคราบน้ำตา เป็นปัญหาที่พบบ่อยและถูกถามถึงมากที่สุด อาการที่พบ คือ มีน้ำตา ไหลในตาข้างหนึ่ง หรือทั้งสองข้าง ไม่มีอาการหรี่ตา น้ำตาที่ไหลออกมาเป็นน้ำตาใสๆ ร่วมกับมีคราบติดบริเวณร่องจมูก ซึ่งโรคนี้เป็นโรคทางพันธุกรรม เกิดจากการสะสมของแบคทีเรียในท่อน้ำตา เนื่องจากท่อน้ำตาและโพรงจมูกของแมวเปอร์เซียคดไปคดมา

เมื่อเจ้าเหมียวของคุณประสบปัญหานี้เข้า การแก้ปัญหาเบื้องต้น ผู้เลี้ยงอาจใช้ผ้าชุบน้ำอุ่นเคอยเช็ดคราบน้ำตาเป็นประจำ เพราะหากปล่อยไว้จนแห้ง อาจเช็ดไม่ออก หมดสวยหมดหล่อไม่รู้ด้วยนะคะ แต่ถ้าหากมีคราบน้ำตามเยอะและข้นกว่าปกติ อาจต้องใช้ยาป้ายตาร่วมกับการเช็ดคราบน้ำตา หรืออาจพาไปพบสัตวแพทย์เพื่อล้างท่อน้ำตา และทำการรักษาต่อไป




วันอังคารที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2554

5 วิธียืดตัวให้สูง


**สำหรับคนอายุ 17 - 20 ปี**

1.กระโดดเชือก 600 ครั้ง หรือ ออกกำลังที่มีการยืดใช้เวลาประมาณ 30 นาที (เช้า - เย็น)
ถ้าหากเบื่อวิธีที่กล่าวมา ก็เต้นแอโรบิค หรืออะไรก็ได้ที่เกี่ยวกับการเต้น
ออกกำลังกายแบบเคลื่อนไหวก็ใช้ได้เหมือนกัน ใช้เวลาติดต่อกัน 30 - 60 นาที
(ว่ายน้ำ วิ่งช้า ๆ ขี่จักรยาน บาสเกตบอล เทนนิส เดินเร็ว และอื่นที่มีการกระโดด) ก็ได้ทำให้สูงได้เหมือนกัน

2.ดื่มนมวันละ 2 แก้ว หลังอาหาร (เช้า - หลังอาหาร) เพราะนมวัวไม่เพียงอุดมไปด้วยแคลเซียมและสารอาหารต่างๆ เท่านั้น
แต่ยังมีสารอาหารบางอย่างที่ทำให้สูงขึ้นหรือทำให้ร่างกายใหญ่ขึ้นนั้นเอง
เป็นสารอาหารที่สำคัญอย่างมากสำหรับคนที่ต้องการสูงขึ้น


3.นอนเวลาประมาณ 3 ทุ่มขึ้นไป แต่ห้ามนอนหลังเที่ยงคืนและนอนให้เพียงพอ
*(เพราะฮอร์โมนความสูงจะหลั่งตั้งแต่ เที่ยงคืน ถึง ตี 5)


4.กินอาหารให้ครบ 3 มื้อ (เช้า กลางวัน เย็น) สารอาหารให้ครบ 5 หมู่

5.งดเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอลฮอล์ และ น้ำอัดลม งดสูบบุรี่ เท่าที่จะเป็นไปได้
เพราะมีโอกาสเป็นไปได้ค่อนข้างสูง ที่จะทำให้มีโอกาสสูงได้น้อยลงได้เหมือนกัน





ถ้าคุณทำตาม 5 ข้อที่กล่าวมาข้างต้นนี้ ภายใน 1 เดือน (30 วัน) รับรองได้คุณจะสูงเพิ่มอีกเฉลี่ยเดือนละ 1.30 เซนติเมตร
(แต่ต้องทำทุกวัน)
^_^ถ้าไม่เชื่อก็ลองวัดส่วนสูงดูก็ได้นะคะ^_^

วันพุธที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2554

Vanessa-Mae



Vanessa-Mae Vanakorn Nicholson (born 27 October 1978), known professionally as Vanessa-Mae (in Chinese: 陳美, Chén Měi), is an internationally known British violinist. Her music style is self-described as "violin techno-acoustic fusion", as several of her albums prominently feature the techno style. She is currently a judge on Popstar to Operastar.




Childhood


Vanessa-Mae was born in Singapore to a Thai father (Vorapong Vanakorn) and a Chinese mother (Pamela Tan). After her parents separated, her mother married Graham Nicholson, and the family moved to England when Vanessa-Mae was four years old. She grew up in London and holds British citizenship. She attended the independent Francis Holland School in London.




Professional life



Vanessa-Mae began playing piano at the age of three and violin at five.She was particularly famous in the United Kingdom throughout her childhood making regular appearances on television (for example on Blue Peter) mostly involving classical music and conservative style. According to Guinness World Records, she is the youngest soloist to record both the Beethovenand Tchaikovsky violin concertos, a feat she accomplished at the age of thirteen.During this time she attended the Francis Holland School in central London.Vanessa-Mae made her international professional debut at the Schleswig-Holstein Musik Festival in Germany in 1988, and also during 1988 made her concerto debut on stage with the Philharmonia Orchestra in London.On entering adolescence Vanessa-Mae broke away from her traditional classical influences and became known for her flashy, sexual style appearing in music videos in stylish outfits. Her first pop-style album, The Violin Player, was released in 1995. She appeared on the 1997 Janet Jackson album The Velvet Rope playing a violin solo on the song "Velvet Rope".She performed in the interval of the 1998 Eurovision Song Contest in Birmingham.In April 2006, Vanessa-Mae was ranked as the wealthiest young entertainer under 30 in the UK in the Sunday Times Rich List 2006. having an estimated fortune of about £32 million stemming from concerts and record sales of over an estimated 10 million copies worldwide, which is an unprecedented achievement for a young female violinist.Vanessa-Mae announced in 2006 that she would be releasing a new album sometime between 2007 and 2008. The album was said to draw inspiration from great ballets and opera themes. A new album was expected in 2009, but the year ended without the expected release.Vanessa-Mae was the special guest violinist for Il Divo's Christmas Tour 2009.She plans to compete in the 2014 Winter Olympics as a downhill skier, representing Thailand.



Violins


Vanessa-Mae most often uses one of two types of violins, a Guadagnini acoustic violin or a Zeta Jazz model electric violin. The Guadagnini was made in 1761, and was purchased by her parents at an auction for £150,000. It was stolen in January 1995, but was recovered by the police two months later. She once dropped it and it broke, but it was repaired.In addition, she uses one of two Zeta Jazz Model electric violins, one of which is white and the other one of which features decals of the U.S. flag. She has also been using a silver-grey Zeta Jazz Model electric violin since 2001. She also owns three Ted Brewer Violins two of which she uses on stage (a Crossbow and a Vivo2 Clear) and in publicity material. In addition to these violins, she sometimes buys violins and resells them later, giving the proceeds to charity.


กฎ 10 ข้อแห่งความโชคดีในการสอบรับตรง Admissions



กฎแห่งความโชคดีข้อที่ 1



โชคนั้นอยู่ได้ไม่นาน เพราะว่ามันไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเรา แต่โชคดีเป็นสิ่งที่เราสร้างขึ้นด้วยตัวเอง ดังนั้นมันจะคงอยู่ตลอดไป อยากมีโชคก็ต้องอ่านหนังสือนะจ้า ความรู้ต้องมั่นทบทวนอยู่เสมอ เพราะถ้าทิ้งไว้นาน ก็จะลืม อิอิ



กฎแห่งความโชคดีข้อที่ 2


คนที่อยากจะมีโชคดีมีมาก แต่คนที่จะตัดสินใจไขว่คว้าหามาให้ได้มีน้อย คนส่วนใหญจะอยากจะทำข้อสอบได้คะแนนเยอะ แต่มีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่จะทำคะแนนสอบได้ดี เพราะคนส่วนใหญ่มัวแต่ เล่นเกมส์ เที่ยวกับเพื่อน ดูละคร



กฎแห่งความโชคดีข้อที่ 3


หากตอนนี้คุณไม่มีโชคดี บางทีอาจเป็นเพราะสภาพแวดล้อมยังเป็นสภาวะเดิมๆ เพื่อให้ความโชคดีมาเยือน คุณจำต้องสร้างสภาวะใหม่ๆให้เกิดขึ้น การที่ทำข้อสอบไม่ได้ ไม่ใช่ว่าเพราะโชคไม่ดีหรอกแต่เป็นเพราะเตรียมตัวมาไม่พร้อมเอง



กฎแห่งความโชคดีข้อที่ 4


การเตรียมสภาวะที่เหมาะสมสำหรับโชคดี ไม่ได้หมายความว่าให้หาผลประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว การสร้างสภาวะที่เหมาะสมเพื่อให้คนอื่นได้รับประโยชน์ด้วยจะนำโชคดีมาให้ คนที่เก่งแล้ว ก็ควรจะแบ่งปันความรู้ให้กับผู้อื่นเพราะนอกจาก เราจะได้ทำเพื่อนของเรามีความรู้มากขึ้นแล้ว ตัวเราเองก็จะได้ทบทวนไปในตัวด้วย เหมือนคำกล่าวที่ว่าครูจะเก่งก็เพราะนักเรียน



กฎแห่งความโชคดีข้อที่ 5


หากผัดผ่อนการเตรียมสภาวะที่เหมาะสม "ไว้วันหน้า" บางทีโชคดีอาจจะไม่มาเยือนเลย การสร้างสภาวะที่เหมาะสมต้องมีก้าวแรก เริ่มก้าวเสียแต่วันนี้!คำกล่าวที่ว่า ไว้พรุ้งนี้ค่อยอ่าน ไว้อีก 1 ชมค่อยอ่าน ควรจะเปลี่ยนเป็น ยิบหนังสือมาอ่านเดี่ยวนี้ ตอนนี้



กฎแห่งความโชคดีข้อที่ 6


แม้ในสภาวะที่ดูเหมือนว่าพร้อมแล้ว บางครั้งโชคดีก็ไม่มาเยือน จงมองหารายละเอียดเล็กๆน้อยๆ สภาวะที่ดูเผินๆเหมือนจะไม่จำเป็น... แต่แท้จริงแล้ว เป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แม้บางครั้งเราอาจจะตั้งใจอ่านมาดีแล้ว แต่บางครั้งเราอาจจะทำข้อสอบไม่ได้เสมอไป จงสำรวจตัวเองว่าเราทำไม่ได้เพราะอะไร จงหาข้อผิดพลาดเล็กๆน้อยจากครั้งที่ผ่านมา



กฎแห่งความโชคดีข้อที่ 7


ที่เชื่อแต่เรื่องโชค จะเห็นว่า การสร้างสภาวะที่เหมาะสมเป็นเรื่องไร้สาระ คนที่ลงมือสร้างสภาวะที่เหมาะสมให้เกิดขึ้น จะไม่กังวลเรื่องโชค คนที่คิดจะหวังขอให้เดาถูกด้วยเถอะ นั่นเป็นเรื่องที่ไร้สาระที่สุด มีคำกล่าวที่ว่า ต่อให้เทวดามาทำข้อสอบ Pat ยังทำไม่ได้เลย แล้วนี่ยังมีอัตนัยอีก ฮาฮา คุณนั่นหละจงขยันอ่านหนังสือและก็ทำมันได้ด้วยตัวเอง



กฎแห่งความโชคดีข้อที่ 8


ไม่มีใครขายโชคได้ โชคดีนั้นไม่มีขาย จงอย่าเชื่อใจผู้เสนอขายโชค กวดวิชาที่ใดที่บอกว่า เรียนที่นี่รับประกันว่าติดแน่นอน แต่ที่ติดจริงๆ ก็ต้องเป็นเพราะตัวเราเองเป็นอันดับแรก ต่อให้เข้าเรียน กวดวิชาชื่อดังทั่วฟ้าเมืองไทย แต่ถ้าเกิดไม่ตั้งใจเรียน ไม่อ่านหนังสือ ไม่ทำแบบฝึกหัด ยังไง ก็ไม่ได้ช่วยให้คุณคะแนนดีหรอก



กฎแห่งความโชคดีข้อที่ 9


เมื่อได้สร้างสภาวะที่เหมาะสมทุกประการแล้ว จงอดทนรอ อย่าละทิ้งไป เพื่อให้โชคดีมาเยือนการที่เราขยันอยู่ทุกวัน จงรักษาการกระทำแบบนั้นไว้ ( พักผ่อนหาเวลาเที่ยวเล่นบ้างก็ได้แต่อย่ามากจนเกินไป) อย่าคิดว่าตัวเองเก่งแล้วถนัดแล้ว เพราะนับวัน สทศ ยิ่งออกข้อสอบ ............. จงอย่าตกอยู่ในความประมาท 55+



กฎแห่งความโชคดีข้อที่ 10


การสร้างโชคดี ก็คือ การเตรียมสภาวะแวดล้อมให้พร้อมสำหรับโอกาส แต่โอกาสไม่ใช่เรื่องของโชคหรือความบังเอิญ โอกาสมีอยู่ตลอด การทำข้อสอบได้เป็นเพราะแสวงหา ไม่ใช่เพราะโชคชะตาหรือความบังเอิญ เบื้องหน้าอาจจะเห็น คนที่ได้คะแนนเยอะ บอกว่า โชคดีจึงทำข้อสอบได้คะแนนดี แต่ฉากหลังแล้ว พวกเขาเหล่านั้น มั่นอ่านหนังสือ ทบทวนตำราเรียนอยู่ทุกวัน


"โชคดีมีอยู่ให้พวกเราเสมอ อยู่ที่ว่าพวกเราจะสร้างสภาวะแวดล้อม


ให้พร้อมที่จะรับความโชคดีนั้นหรือเปล่า"




ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก www.unigang.com







วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554

วันรพี





"วันรพี" (7 สิงหาคมของทุกปี) เป็นวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ผู้ทรงได้รับการยกย่องให้เป็น "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" เนื่องจากพระองค์ทรงเป็นนักนิติศาสตร์ และทรงวางระบบแบบแผนศาลยุติธรรม รวมถึงทรงจัดตั้งโรงเรียนกฎหมายขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยอันเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่งแก่ประเทศชาติ

ชื่อของวันรพีมาจากพระนามเดิมของพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ คือ พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ ทรงเป็นพระราชโอรสองค์ที่ ๑๔ ในสมเด็จพระปิยมหาราช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตลับ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๔๑๗




พระประวัติ



พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงมีพระนามเดิมว่า พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ เป็น พระราชโอรสองค์ที่ ๑๔ ในสมเด็จพระปิยมหาราช พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งประสูติแต่เจ้าจอมมารดาตลับ เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลาคม ๒๔๑๗





การศึกษา



พระองค์เจ้ารพีพัฒนศักดิ์ทรงเข้าศึกษาวิชาภาษาไทยครั้งแรกในสำนักพระยาศรีสุนทรโวหาร(น้อย อาจารยางกูร) เมื่อทรงผ่านการศึกษาแล้วได้ ทรงเข้าศึกษาภาษาอังกฤษชั้นต้น ในสำนักครูราม สามิ และในปี พ.ศ. ๒๔๒๖ ได้ทรงเข้าศึกษา ภาษาไทยอยู่ในสำนักพระยาโอวาทวรกิจ (แก่น) เปรียญ ณ พระตำหนักสวนกุหลาบ ในปี พ.ศ. ๒๔๒๗ ได้ทรงผนวชเป็นสามเณรประทับอยู่วัดบวรนิเวศ เมื่อปลายปี พ.ศ. ๒๔๓๑ได้เสด็จไปประเทศอังกฤษ และทรงเข้าศึกษาในโรงเรียนมัธยมอยู่ในกรุงลอนดอน ๓ ปี เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้วได้ทรงเลือกศึกษาวิชา กฎหมายต่อที่วิทยาลัยไครส์ตเชิช ในมหาวิทยาลัยออกฟอร์ด เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๓ เมื่อได้ทรงเข้าศึกษาในวิทยาลัย ไครส์ตเชิช แล้วได้ ทรงอุตสาหะเอาพระทัยใส่เป็นอย่างมาก ในที่สุดได้ ทรงสอบไล่ได้ตามหลักสูตรชั้นปริญญาเกียรตินิยม ในทางกฎหมายของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นจึงเสด็จกลับกรุงเทพฯ

พระราชกรณียกิจ




ด้วยพระปรีชาสามารถอันเป็นอัจฉริยะประกอบกับพระวิริยะอุตสาหะข

องพระเจ้าบรมวงศ์ เธอกรมหลวง ราชบุรีดิเรกฤทธิ์ พระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ อันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศไทยเป็นเอนกประการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการกฎหมายไทย กล่าวคือทรงปรับปรุงศาลยุติธรรมสู่ระบบใหม่ทรงตรวจชำระสะสางกฎหมายทรงตั้งโรงเรียนกฎหมายเพื่อเปิดการสอนกฎหมาย ครั้งแรกทรงรวบรวม และแต่งตำราคำอธิบายกฎหมายลักษณะต่างๆ มากมายทรงเป็นกรรมการตรวจตัดสิน ความฎีกาซึ่งทำหน้าที่ศาลสูงสุดของประเทศ ทรงตั้ง กองพิมพ์ลายมือขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๓ สำหรับตรวจ ลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหาในคดีอาญา อันเป็นจุดเริ่มต้น ของการพิสูจน์ลายมือที่กรมตำรวจ ในปัจจุบันนอกจาก นั้นในขณะดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงเกษตราธิราช ทรงปรับปรุงกิจการกรมทะเบียนที่ดินให้เจริญก้าวหน้า เป็นอันมาก





สิ้นพระชนม์



ในปี พ.ศ. ๒๔๖๒ได้ทรงได้รับพระราชทานอนุญาต ให้ลาพักราชการในตำแหน่งเสนบดีกระทรวงเกษตราธิราชเพื่อรักษาพระองค์ด้วย ทรงประชวรด้วยพระวัณโรคที่พระวักกะ และเสด็จไปรักษาพระองค์ ณ กรุงปารีส แต่อาการหาทุเลาไม่ ในที่สุดได้เสด็จสิ้นพระชนม์ ณ กรุงปารีส เมื่อวันที่ ๗ สิงหาคม ๒๔๖๓ พระชนมายุได้ ๔๗ พรรษา พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ ทรงเป็นนักนิติศาสตร์ ผู้ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตอย่างยิ่งยวด ทรงถือว่าความซื่อสัตย์สุจริต เป็นสิ่งสำคัญสำหรับชีวิตมนุษย์ โดยเฉพาะสำหรับนักกฎหมาย และทรงจัดตั้งโรงเรียน กฎหมายและเป็นผู้สอนวิชากฎหมายด้วยพระองค์เอง เพื่อที่จะให้มีผู้รู้กฎหมายมากขึ้นทรงจัดวางระเบียบศาลยุติธรรมสู่ระบบใหม่ ทรงรวบรวมกฎหมาย และคำพิพากษา ฎีกาพร้อมแต่งตำราอธิบายกฎหมายต่าง ๆ มากมายการค้นคว้ารวบรวมและพระนิพนธ์ ได้เป็นรากฐานก่อตั้งการศึกษานิติศาสตร์ขึ้นในประเทศไทยอันเป็นประโยชน์ใหญ่ยิ่งแก่ประเทศชาติจึงทรงได้รับยกย่องให้เป็น "พระบิดาแห่งกฎหมายไทย" และเรียกวันที่ ๗ สิงหาคม อันเป็นคล้ายวันสิ้นพระชนม์ของพระองค์ทุกปีว่า "วันรพี"

































































วันพฤหัสบดีที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

“วันภาษาไทยแห่งชาติ”












ความเป็นมา



คณะกรรมการรณรงค์เพื่อภาษาไทย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้ตระหนักในคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย และมีความห่วงใยในปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อภาษาไทย และเพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกให้คนไทยทั้งชาติได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือกันทำนุบำรุง ส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทยให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป จึงได้เสนอขอให้รัฐบาลประกาศให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี เป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ เช่นเดียวกับวันสำคัญอื่นๆ ที่รัฐบาลได้จัดให้มีมาก่อนแล้ว เช่น วันวิทยาศาสตร์แห่งชาติและ วันสื่อสารแห่งชาติเป็นต้น และคณะรัฐมนตรีได้มีมติเมื่อวันอังคารที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๔๒ เห็นชอบให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปีเป็นวันภาษาไทยแห่งชาติ














ทำไมจึงได้กำหนดให้วันที่ ๒๙ กรกฎาคม เป็น วันภาษาไทยแห่งชาติ



เพราะวันดังกล่าว ตรงกับวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้เสด็จพระราชดำเนินไปเป็นประธานและทรงร่วมอภิปรายในการประชุมทางวิชาการของชุมนุมภาษาไทย คณะอักษรศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ณ ห้องประชุมคณะอักษรศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ๒๕๐๕ ทรงเปิดการอภิปรายในหัวข้อ ปัญหาการใช้คำไทยทรงดำเนินการอภิปรายและทรงสรุปการอภิปรายอย่างดีเยี่ยม แสดงถึงพระปรีชาสามารถและความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทย เป็นที่ประทับใจผู้เข้าร่วมการประชุมในครั้งนั้นเป็นอย่างยิ่ง นับเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวในประวัติศาสตร์ของวงการภาษาไทย ที่ได้รับพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณดังกล่าว และในโอกาสต่อๆ มาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวยังได้ทรงแสดงความสนพระราชหฤทัยและความห่วงใยในภาษาไทยอีกหลายโอกาส เช่น ได้พระราชทานพระราชดำรัสเกี่ยวกับปัญหาในการใช้ภาษาไทยของประชาชนชาวไทยในปัจจุบัน ในวโรกาสที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชการและองค์กรเอกชนเข้าเฝ้าถวายชัยมงคล เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พุทธศักราช ๒๕๓๕ นอกจากนี้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงย้ำให้ประชาชนชาวไทยตระหนักถึงความสำคัญของภาษาไทยและพระราชทานแนวความคิดในการอนุรักษ์ภาษาไทยในโอกาสต่างๆ อยู่เสมอ ที่สำคัญยิ่งกว่านี้ คือ เป็นที่ประจักษ์ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระปรีชาญาณและพระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทยทรงรอบรู้ปราดเปรื่องถึงรากศัพท์ของคำไทย คือ ภาษาบาลีและสันสกฤต ทรงพระอุตสาหะวิริยะแปลและเรียบเรียงวรรณกรรมภาษาต่างประเทศเป็นภาษาไทยที่สมบูรณ์ด้วยลักษณะวรรณศิลป์ มีเนื้อหาสาระที่มีคุณค่าเป็นคติในการเสียสละเพื่อส่วนรวม และเป็นแบบอย่างแก่ประชาชนในการใช้ภาษาไทย ดังจะเห็นได้จากพระราชนิพนธ์แปลเรื่องนายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ ติโต พระราชนิพนธ์แปลบทความเรื่องสั้นๆ หลายบท และพระราชนิพนธ์ เรื่อง พระมหาชนก นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อมที่สุดมิได้แก่วงการ




















วัตถุประสงค์



. เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ผู้ทรงเป็นนักปราชญ์ และนักภาษาไทย รวมทั้งเพื่อน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ที่ได้ทรงแสดงความห่วงใยและพระราชทานแนวคิดต่างๆ เกี่ยวกับการใช้ภาษาไทย


. เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในมหามงคลสมัยเฉลิมพระชนมพรรษา ๖ รอบ ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๔๒


. เพื่อกระตุ้นและปลุกจิตสำนึกของคนไทยทั้งชาติให้ตระหนักถึงความสำคัญและคุณค่าของภาษาไทย ตลอดจนร่วมมือร่วมใจกันทำนุบำรุงส่งเสริม และอนุรักษ์ภาษาไทย ซึ่งเป็นเอกลักษณ์และเป็นสมบัติวัฒนธรรมอันล้ำค่าของชาติให้คงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป


. เพื่อเพิ่มพูนประสิทธิภาพในการใช้ภาษาไทย ทั้งในวงวิชาการและวิชาชีพ รวมทั้งเพื่อยกมาตรฐานการเรียนการสอนภาษาไทยในสถานศึกษาทุกระดับให้มีสัมฤทธิผลยิ่งขึ้น


. เพื่อเปิดโอกาสให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชนทั่วประเทศมีส่วนร่วมในการจัดกิจกรรมที่หลากหลาย เพื่อเผยแพร่ความรู้ภาษาไทยในรูปแบบต่างๆ ไปสู่สาธารณชนทั้งในฐานะที่เป็นภาษาประจำชาติ และในฐานะที่เป็นภาษาเพื่อการสื่อสารของทุกคนในชาติ


















ประโยชน์ที่ได้รับจากการมี วันภาษาไทยแห่งชาติ




คาดว่าจะมีผลดีสืบเนื่องหลายประการ คือ


. การมี วันภาษาไทยแห่งชาติจะทำให้หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐบาลและเอกชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหน่วยงานในกระทรวงศึกษาธิการ และทบวงมหาวิทยาลัย ตระหนักในความสำคัญของภาษาไทย และร่วมกันจัดกิจกรรมเพื่อกระตุ้นเตือน เผยแพร่ และเน้นย้ำให้ประชาชนเห็นความสำคัญของ ภาษาประจำชาติของคนไทยทุกคน และร่วมมือกันอนุรักษ์การใช้ภาษาไทยให้มีความถูกต้องงดงามอยู่เสมอ


. บุคคลในวงวิชาชีพต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการใช้ภาษาไทย โดยเฉพาะในวงการศึกษา และวงการสื่อสาร ช่วยกันกวดขันดูแลให้การใช้ภาษาไทยเป็นไปอย่างถูกต้อง เหมาะสม มิให้ผันแปรเปลี่ยนแปลง จนเกิดความเสียหายแก่คุณลักษณะของภาษาไทยอันเป็นเอกลักษณ์ของชาติ


. ผลสืบเนื่องในระยะยาว คาดว่าปวงชนชาวไทยทั่วประเทศจะตื่นตัวและสนใจที่จะร่วมกันฟื้นฟู ทำนุบำรุง ส่งเสริมและอนุรักษ์ภาษาไทย อันเป็นเอกลักษณ์และสมบัติวัฒนธรรมที่สำคัญของชาติให้ดำรงคงอยู่คู่ชาติไทยตลอดไป



กิจกรรม










เชิญชวนให้สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาครัฐ และเอกชน จัดกิจกรรมเนื่องใน วันภาษาไทยแห่งชาติในวันภาษาไทยแห่งชาติ โดยจัด ในวันที่ ๒๙ กรกฎาคม ของทุกปี โดยมีกิจกรรมต่าง ๆ เช่นการจัดนิทรรศการ, การอภิปรายทางวิชาการ, การประกวดแต่งคำประพันธ์ ร้อยแก้ว ร้อยกรอง การขับเสภา การเล่านิทาน ฯลฯ,











ขอขอบคุณข้อมูลดีๆจาก:http://www.tungsong.com/Important_Day/Pasathai/index.asp