วันศุกร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Buche de Noël




Christmas Log หรือ Buche de Noël


Bûche de Noël ("Yule log") is a traditional dessert served near Christmas (as Noel refers to the birth of Christ) in France, Belgium, Canada, Lebanon, Vietnam, and several other francophone countries and former French colonies. As the name indicates, the cake is generally prepared, presented, and garnished so as to look like a log ready for the fire used in the ancient fire-festival of the winter solstice.
The traditional bûche is made from a Génoise or other sponge cake, generally baked in a large, shallow Swiss roll pan, frosted, rolled to form a cylinder, and frosted again on the outside. The most common combination is a basic yellow sponge cake, frosted and filled with chocolate buttercream; however, many variations on the traditional recipe exist, possibly including chocolate cakes, ganache and espresso or otherwise-flavored frostings and fillings. Bûches are often served with a portion of one end of the cake cut off and set on top of the cake or protruding from its side to resemble a chopped off branch, and bark-like texture is often produced in the buttercream for further realism. This is often done by dragging a fork through the icing. These cakes are often decorated with powdered sugar to resemble snow, tree branches, fresh berries, and mushrooms made of meringue.
They can be considered a type of sweet roulade.

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Cathédrale Saint-Pierre

มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม (Cathédrale Saint-Pierre d'Angoulême)

มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม หรือ มหาวิหารอองกูเล็ม (ฝรั่งเศส:Cathédrale Saint-Pierre d'Angoulême(ออกเสียง Angoulême),อังกฤษ:Angoulême Cathedral)มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็มเป็นวัดคริสต์ศาสนา ของนิกายโรมันคาทอลิกที่มีฐานะเป็น มหาวิหารของสังฆมณฑลอองกูเล็มที่ตั้งอยู่ที่เมืองอองกูเล็ม ในประเทศฝรั่งเศส สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแบบโรมาเนสก์ มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม ซึ่งเป็นมหาวิหารที่เป็นตัวอย่างอันเด่นของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ ได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิหารในปี ค.ศ.1017


ประวัติ

มหาวิหารแรกที่สร้างสร้างบนสถานที่เดิมเป็นศาสนสถาน ก่อนยุคคริสเตียน ในมหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม ใช้เวลาสร้างทั้งหมดเริ่มสร้างเป็นครั้งแรกเมื่อปี ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 วัดถูกทำลายเมื่อโคลวิสที่ 1 เข้ามายึดเมืองหลังจาก Battle of Vouillé ในปี ค.ศ.507 มหาวิหารต่อมาได้รับการสถาปนาในปี ค.ศ.560 แต่ก็มาถูกเผาโดยไวกิง และ นอร์มันราวสองร้อยปีต่อมามหาวิหารที่สามสร้างขึ้นภาพใต้การอำนวยการ ของสังฆราชกริโมดเจ้าอาวาสแห่งวัดแซงต์ปิแยร์แห่งบรานโทม และได้รับการสถาปนาในปี ค.ศ.1017 เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ประชาชนเห็นพ้องกันว่าวัดมีขนาดเล็กไปกว่าฐานะของเมือง การออกแบบมหาวิหารใหม่ทำโดยสังฆราชเจอร์ราร์ดที่สอง ผู้เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของฝรั่งเศสในยุคนั้นผู้เป็น ศาสตราจารย์ ผู้เทนพระสันตะปาปาสี่พระองค์ และเป็นศิลปินผู้มีฝีมือด้วย งานสร้างมหาวิหารเริ่มขึ้นราวปี ค.ศ.1110 และมาสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1128ลักษณะรูปทรงของมหาวิหารก็ได้รับเปลี่ยนแปลงไป จากการซ่อมแซมและขยายตัวในช่วงหลายร้อยปีที่ตามมา เช่นหอระฆังที่ถูกทำลายไประหว่างสงครามศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นอกจากนั้นก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างการบูรณปฏิสังขรณ์ โดยพอล อบาดีระหว่างปี ค.ศ.1866 ถึงปี ค.ศ.1885 ที่รวมทั้งการสร้างหอใหม่สองหอที่คลุมด้วยหลังคาทรงกรวย จะมีก็แต่มุขด้านตะวันตกหรือด้านหน้าเท่านั้น ที่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นสถาปัตยกรรมของยุคกลางสถาปัตยกรรมและศิลปะด้านหน้าของมหาวิหารตกแต่งด้วยประติมากรรมถึงกว่า 70 รูป ที่จัดเป็นสองหัวข้อ “อัสสัมชัญของพระเยซู” และ “การตัดสินครั้งสุดท้าย” ที่ผสานกันอย่างกลมกลืน พระเยซูปรากฏพระองค์ในกรอบมันดอร์ลา (mandorla) ขณะที่เทพสององค์ชี้ให้สาวกเห็นมโนทัศน์ ใบหน้าของผู้ศรัทธาภายใต้ซุ้มโค้งต่างก็มองไปทางพระมหาไถ่ ขณะที่ผู้สร้างบาปถูกผลักเข้าไปตามซอกซุ้มโค้ง ให้ถูกลงโทษเป็นเหยื่อของซาตาน นอกจากสองหัวข้อนี้แล้ว ประติมากรก็ยังสร้างภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตประจำวัน ที่รวมทั้งการล่าสัตว์ภายในสิ่งก่อสร้างเป็นทางเดินกลางที่อยู่ภายใต้โดมสามโดม แขนกางเขนยาวจรดหอทางด้านเหนือและใต้ มุขตะวันออกเป็นชาเปลกระจายออกไปสี่ชาเปล ตรงจุดตัดระหว่างทางเดินกลางและแขนกางเขนเป็นโดมขนาดใหญ่ ที่สร้างแทนโดมเดิมที่ถูกทำลายไประหว่างการถูกล้อมโดยโปรเตสแตนต์ในปี ค.ศ.1568 เดิมแขนกางเขนส่องสว่างด้วยหอตะเกียง (lantern tower) สองหอ แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียงหอเดียว (พอล อบาดีทำการขยายต่อเติม และย้ายประติมากรรมของยุคกลางออกไป)บริเวณร้องเพลงสวดครึ่งวงกลม ขนาบด้วยมุขขนาดเล็กสองมุขที่คลุมด้วยโดมครึ่งโดม

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดูแลสุขภาพหน้าหนาว


ลมหนาวเริ่มพัดมา อาจทำให้หลายคนป่วยไข้ได้ วันนี้มีวิธีการดูแลสุขภาพช่วงหน้าหนาวมาฝาก สิ่งแรก รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จาน ชาม ช้อน เป็นต้น ดูแลเรื่องผิวหนัง โดยการทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ในกรณีมีปัญหาริมฝีปากแตก ควรทาด้วยลิปสติกมัน และไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อย ๆ สำหรับมือควรล้างบ่อย ๆ เนื่องจากอาจไปสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ตามสิ่งของต่าง ๆ ให้ล้างมือด้วยสบู่ธรรมดา 15 - 20 วินาที หรือใช้น้ำยาล้างมือ วิธีไม่ยาก ลองปฏิบัติดูเพื่อสุขภาพ

สูตรลับผิวสวยด้วยน้ำ

ดื่มน้ำเฉพาะตอนที่คอแห้ง เพื่อดับกระหาย หรือดื่มระหว่างทานอาหารเท่านั้น คงยังไม่เพียงพอ! ถ้าอยากผิวสวยและสุขภาพดี แบบไม่ต้องลงทุนซื้อครีมบำรุงกระปุกละเป็นหมื่น ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดื่มน้ำกันใหม่ ด้วย 7 เทคนิคการดื่มน้ำสไตล์เอเวียงจากฝรั่งเศส
1) เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำ ลองดื่มน้ำแร่ธรรมชาติให้ได้วันละ 2 ลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำบริสุทธิ์ในปริมาณที่ต้องการ และคุณจะสังเกตเห็นความแตกต่าง น้ำไม่เพียงจะช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง แต่ยังควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสม, ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร รวมทั้งขับของเสียไปตามกระแสเลือด
2) วางน้ำดื่มไว้ข้างเตียงก่อนเข้านอน ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึก จะได้เทน้ำดื่มสักแก้ว เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย และช่วยให้สามารถนอนหลับต่อได้อย่างง่ายดาย
3) พกพาน้ำดื่มติดตัวไปทุกที่ ทั้งในรถ, ระหว่างการเดินทาง, เวลานั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือตอนดูทีวี การดื่มน้ำให้ติดเป็นนิสัยจะทำให้สุขภาพดี
4) ดื่มน้ำจากขวดให้ได้บ่อยที่สุด เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำของคุณ เพราะทำให้ดื่มง่ายและสะดวกต่อการพกพา
5) ดื่มน้ำให้สม่ำเสมอเมื่อเล่นกีฬา โดยดื่มน้ำก่อนและระหว่างการออกกำลังกาย นอกจากนี้ ยังควรดื่มน้ำหลังจากเล่นกีฬาในปริมาณที่มากพอ เพื่อชดเชยการเสียเหงื่อของร่างกาย
6) ไดเอตด้วยน้ำ ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารกลางวัน จะช่วยลดอาการหิว และควบคุมปริมาณการทานอาหาร
7) ดื่มน้ำหลังอาหารกลางวัน ช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูงประเภทอื่นๆได้.

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นางพญาเสือโคร่ง ซากุระเมืองไทย


นางพญาเสือโคร่ง ซากุระเมืองไทย บนดอยลาง อุทยาแห่งชาติฟ้าห่มปก


"นางพญาเสือโคร่ง" หรือที่ใคร ๆ ก็รู้จักในนาม "ซากุระแห่งเมืองไทย" นั้น เป็นไม้สกุล บ๊วยท้อ ซากุระ สามารถพบที่ประเทศไทย บนภูเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 - 2,000 เมตรใครจะเรียกนางพญาเสือโคร่ง, ชมพูภูพิงค์ หรือ ซากุระ ก็ตาม สำหรับฉันที่เห็นดอกไม้เล็ก ๆ สีชมพูหวาน บานเป็นพุ่ม บนกิ่งไม้เรียวเล็กสีน้ำตาลเข้ม บานสะพรั่งตามสองข้างทางที่ขับรถผ่านช่างเหมือน "สาวน้อยวัยขบเผาะ" ที่กำลังเริงร่า แข่งกันเบ่งบานรับแสงตะวัน สีชมพูอร่ามตัดกับพืชพันธุ์ไม้สีเขียวที่ไม่ยอมน้อยหน้า ไม่ต้องรอให้ฝนตกจากฟากฟ้า ณ วินาทีนี้ เป็นอะไรที่ชุ่มฉ่ำใจที่ได้มาสัมผัส ซากุระแห่งเมืองไทย โดยที่ไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เลย


นึกถึงนางพญาเสือโคร่ง หลายคนอาจนึกถึงดอยขุนแม่ยะ ดอยขุนช้างเคี่ยน ดอยปุย,ดอยอินทนนท์,หรือที่ขุนวางแล้วแต่ใคร ๆ จะมุ่งไป"อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก"แบ่งแนวเขตระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า สูงกว่าระดับน้ำทะเลที่ 2,000 เมตร

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตุ๊กตาหมี เทดดี้แบร์










เมื่อยามเหงาเพื่อนๆ นึกถึงอะไรกันบ้างคะนึกถึง "ตุ๊กตาหมี เทดดี้แบร์"กันบ้างหรือปล่าว



เทดดี้แบร์เพิ่งจะปรากฏตนเป็นเพื่อนของเราเมื่อไม่นานมานี้เอง เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ในปี ค.ศ.1902ที่เกิดเหตุการณ์ในคนละฟากมหาสมุทร ทั้งในสหรัฐอเมริกาและเยอรมัน จนเป็นกำเนิดของตุ๊กตาหมี ที่ชื่อ เทดดี้แบร์
เรื่องราวในสหรัฐอเมริกาเล่ากันว่า เทดดี้แบร์มาจากการวาดของนักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองที่ชื่อ คลิฟฟอร์ด เบอร์รีแมน วาดภาพที่ชื่อว่า "Drawing the Line in Mississippi" เป็นภาพประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลท์ ปฏิเสธจะยิงลูกหมีที่ถูกจับล่ามเอาไว้กับต้นไม้ ตามเรื่องราวที่เล่ากันมาบอกว่า ประธานาธิบดีรูสเวลท์ เดินทางไปมลรัฐมิสซิสซิปปี้เพื่อช่วยเจรจาแบ่งเส้นพรมแดนที่มีปัญหากับรัฐลุยส์เซียน่า และเจ้าภาพให้การต้อนรับผู้นำของประเทศโดยชวนไปล่าหมีในป่า แต่โชคร้ายที่ไม่พบหมีให้ล่า จึงมีคนหัวใสนำเอาลูกหมีมาให้ แต่ประธานาธิบดีปฏิเสธที่จะยิงหมีที่ถูกล่ามเช่นนั้น ทำให้นายเบอร์รีแมนนักวาดภาพการ์ตูนประทับใจจึงวาดภาพนี้ขึ้นมา

ประธานาธิบดีรูสเวลท์กับการ์ตูนในวอชิงตันโพสต์


การ์ตูนปรากฏใน เดอะวอชิงตันโพสต์ ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน 1902 และเป็นที่กล่าวขวัญกันมาก เป็นแรงบันดาลใจให้สามีภรรยาที่ชื่อ มอร์ริส และโรส มิชทอมส์ ซึ่งอยู่ในนิวยอร์คทำ ตุ๊กตาหมี ขึ้น เพื่อยกย่องการกระทำของประธานาธิบดีรูสเวลท์ ครอบครัวมิชทอมส์ตั้งชื่อ ตุ๊กตาหมี ของตนว่า “ เทดดี้แบร์ ” มาจาก เทดดี้ อันเป็นชื่อเล่นของ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ และนำวางโชว์ที่ตู้กระจกหน้าร้านขายลูกกวาดและเครื่องเขียนของตน ตุ๊กตาที่วางโชว์หน้าร้านตัวนี้ ต่างจาก ตุ๊กตาหมี ที่เคยทำกันมาซึ่งมักจะมีหน้าตาดุร้าย และยืนสี่ขาเหมือนกับหมีจริง แต่หมีของครอบครัวมิชทอมส์เป็นลูกหมีดูน่ารัก ไร้เดียงสา ยืนตัวตรงเหมือนหมีในการ์ตูนของเบอร์รี่แมน นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ ตุ๊กตาหมี “ เทดดี้แบร์ ” ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนครอบครัวมิชทอมส์สามารถตั้งโรงงานผลิต ตุ๊กตาหมี ขึ้นเป็นครั้งแรกในอเมริกา ที่ชื่อว่า Ideal Novelty and Toy


ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร ริชาร์ด ชไตฟ์ ชายหนุ่มผู้ทำงานกับป้า มาร์กาเร็ตเท ชไตฟ์ ( Margarete Steiff)นักธุรกิจของเล่นเด็กในเยอรมัน ริชาร์ดเรียนมาทางด้านศิลปะ เขาชอบวาดรูป และไปที่สวนสัตว์ในสตุตการ์ตบ่อย ๆ เชไตฟ์ จะทำ ตุ๊กตาหมี ในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ขณะนั้นการสื่อสารยังไม่เจริญเท่าใด ทั้งคู่จึงไม่ล่วงรู้ถึงความคิดสร้างสรรค์ของกันและกัน ตุ๊กตาหมี ของมิชทอมส์เป็นลูกหมีตาโต ตามการ์ตูนที่วาดโดยเบอร์รี่แมน ส่วนของหมีชไตฟ์มีลักษณะหลังค่อม จมูกยาว ดูเหมือนลูกหมีจริง ๆ มากกว่า
ไม่นานหลังจากนั้น เดือนมีนาคมปี 1903 ในงานแสดงของเล่น เมืองลิปซิกในเยอรมัน ชไตฟ์เปิดตัว ตุ๊กตาหมี ครั้งแรกในงานนี้ แต่พ่อค้าชาวยุโรปไม่ค่อยให้ความสนใจนัก ตรงกันข้ามพ่อค้าของเล่นชาวอเมริกัน ซึ่งรู้ว่าชาวอเมริกันกำลังสนใจ “ เทดดี้แบร์ ” จึงสั่งซื้อทีเดียว 3,000 ตัว ชไตฟ์จึงเข้าสู่ตลาดอเมริกาในจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมอย่างที่สุด
ภาพการ์ตูนในวอชิงตันโพสต์


ความคลั่งไคล้เทดดี้แบร์
ปี 1906 ความคลั่งไคล้ ตุ๊กตาหมี เทดดีแบร์ของคนอเมริกันถึงขีดสุด พอ ๆ กับความนิยมตุ๊กตาหัวกะหล่ำปลี (Cabbage Patch Kid) ในทศวรรษปี 1980 และตุ๊กตาบีนนี่บาบี้ (Beanie Babie) ในทศวรรษปี 1990 เวลานั้นสาว ๆ ถือ ตุ๊กตาหมี กันไปทุกหนแห่ง เด็กๆ นิยมถ่ายรูปคู่กับตุ๊กตาเทดดี้แบร์ ประธานาธิบดีรูสเวลต์ ใช้ ตุ๊กตาหมี เป็นสัญญลักษณ์ในการหาเสียงเลือกตั้งจนได้เป็นประธานาธิบดีในสมัยที่สอง ซีมัวร์ อีตัน นักการศึกษาและคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์เขียนหนังสือชุดสำหรับเด็กเกี่ยวกับการผจญภัยของหมีที่ชื่อรูสเวลต์ นักแต่งเพลงชาวอเมริกันชื่อ เจ . เค . แบรตตัน แต่งเพลง “The Teddy Bear Two Step” ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชื่อ “The Teddy Bear's Picnic” ซึ่งยังคงร้องกันมาจนถึงทุกวันนี้ ผู้ผลิต ตุ๊กตาหมี ในอเมริกาทำ ตุ๊กตาหมี ออกมาทุกสีสันและทุกประเภท ตั้งแต่ ตุ๊กตาหมี บนรองเท้าสเก็ตน้ำแข็ง ไปจนถึง ตุ๊กตาหมี ที่มีตาเป็นหลอดไฟ คำว่า “ เทดดี้แบร์ ” กลายเป็นคำซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าหมายถึง ตุ๊กตาหมี แม้กระทั่งชไตฟ์ผู้ผลิต ตุ๊กตาหมี ในเยอรมัน ก็รับเอาคำนี้ในการเรียก ตุ๊กตาหมี ของตน
ไม่ใช่เพียงบริษัทสตีฟและบริษัทไอเดียลเท่านั้นที่อยู่ในธุรกิจนี้ แต่มีบริษัทอีกนับสิบบริษัทในอเมริกาที่เปิดกันขึ้นมาในยุคนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ปิดกิจการในเวลาต่อมา เหลือเพียงบริษัท กันด์แมนูแฟคเจอริ่ง ที่ก่อตั้งในปี 1906 และยังคงทำ
ตุ๊กตาหมี มาถึงปัจจุบัน


ตุ๊กตาหมีของชูโกขนาด 12 นิ้ว เรียกว่าหมี Yes/No เพราะมันจะพยักหน้า เมื่อมีการขยับหางบริษัทผู้ผลิตเทดดี้แบร์ของอเมริกาเผชิญหน้ากับการแข่งขันจาก ตุ๊กตาหมี เยอรมัน ซึ่งผู้ผลิตส่วนใหญ่ของเยอรมันเป็นบริษัทเก่าแก่และมั่นคง หลายบริษัทร่วมมือกับเสตียฟในการทำ ตุ๊กตาหมี ที่มีคุณภาพออกมา อย่างเช่น บิง,ชูโก,และ เฮอร์มาน เป็นต้น ทำให้บริษัทอเมริกันจำนวนมากสู้ไม่ได้ ต้องปิดกิจการไป
ในอังกฤษมีบริษัท เจ.เค.ฟาร์เนลแอนด์โค ที่เป็นต้นกำเนิดของ วินนี่เดอะพูห์ซึ่งคริสโตเฟอร์ โรบิน ไมล์นได้รับเป็นของขวัญวันเกิดจากคุณแม่ในปี 1921 ห้าปีต่อมาพ่อของเขา เอ.เอ.ไมล์นพิมพ์หนังสือวินนี่เดอะพูห์เรื่องออกจำหน่าย เป็นเรื่องการผจญภัยของลูกชายที่ชื่อคริสโตเฟอร์ โรบินกับ วินนี่เดอะพูห์ และเพื่อนตุ๊กตาสัตว์อื่น ๆ ทุกวันนี้เราสามารถชมตุ๊กตาของจริงที่เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่อง วินนี่เดอะพูห์ ได้ที่ห้องเซ็นทรัลชิลเดร็นของห้องสมุดสาธารณะนิวยอร์คสาขาดอนเนลล์ ในขณะที่หนังสือ วินนี่เดอะพูห์ ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย
การชะงักงันในการผลิต ตุ๊กตาหมี ในยุโรป อันเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ยาวนานถึง 4 ปี ทำให้ ตุ๊กตาหมีส่วนใหญ่ยังนิยมทำด้วยมือที่มีคุณภาพดี มายาวนานถึง 25 ปี สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ ตุ๊กตาหมี จากเยอรมันหยุดการผลิต จึงมีโรงงาน ตุ๊กตาหมี ใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น ชาดเวลเล่ย์ , ชิลเทิร์น และดีน ร่วมมือกับ ฟาร์เนลล์ในอังกฤษ พินเทล และ ฟาดาป ตั้งขึ้นในฝรั่งเศส จอยทอยส์ ในออสเตรเลีย เป็นต้น วัสดุที่ใช้ในการทำตุ๊กตามีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน ตาที่ทำด้วยปุ่มรองเท้าบูต เปลี่ยนเป็นตาที่ทำจากแก้ว วัสดุที่ใช้บรรจุในตัวตุ๊กตาเปลี่ยนจากนุ่นเป็นวัสดุออย่างอื่นที่นุ่มกว่า


อเมริกาไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากสงคราม อุตสาหกรรม ตุ๊กตาหมี จึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น บริษัท นิคเกอร์บ็อคเกอร์ ก่อตั้งในปี 1920 ก็ยังคงทำตุ๊กตาเทดดี้แบร์มาจนถึงทุกวันนี้
เก้าปีต่อมาแม้ว่าอเมริกาจะมีภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และผู้ผลิต
ตุ๊กตาหมี ส่วนใหญ่ประสบปัญหาการเงิน หลังจากปี 1929 บริษัทในอเมริกาจำนวนมากถ้าไม่หาวิธีทำ ตุ๊กตาหมี ด้วยต้นทุนที่ถูกลง ก็ต้องปิดตัวเองไป
ในระหว่างทศวรรษปี 1920-1930 หมีที่มีเสียงดนตรี และหมีไขลานเป็นที่นิยมกันมาก มีการผลิตกันทั่วโลก บริษัทที่ขายดีที่สุดอาจจะเป็นบริษัทเยอรมันสองบริษัทที่ชื่อ ชูโก และ บิง สองบริษัทนี้ทำทั้ง หมีที่เดินได้ เต้นรำได้ เล่นลูกบอล และแม้กระทั่งหมีตีลังกา
แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 ทำให้ธุรกิจ
ตุ๊กตาหมี ชะงักงันลงอีก แทนที่คนงานจะผลิตตุ๊กตา ต้องไปผลิตยุทธปัจจัยสำหรับสงครามแทน บางบริษัทปิดตัวเองลงและไม่เคยเปิดอีกเลย


ความเปลี่ยนแปลงหลังปี 1950
ขณะที่ผู้ผลิตเทดดี้แบร์ดั้งเดิมยังคงภูมิใจกับตุ๊กตาที่เย็บด้วยมือ และเส้นใยจากธรรมชาติ แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ผลิตเหล่านี้ถูก ท้าทายด้วยความต้องการของลูกค้าที่ต้องการตุ๊กตาที่ซักได้ ตุ๊กตาที่ทำด้วยใยสังเคราะห์จึงเป็นที่นิยม ผู้ซื้อชอบแนวความคิดเรื่องตุ๊กตาซักได้ ตุ๊กตาหมี หลังสงครามโลกครั้งที่สองจึงถูกทำด้วยผ้าไนลอนหรือผ้าอะครีลิกเป็นส่วนใหญ่ ตาทำด้วยพลาสติก และยัดตัวหมีด้วยฟองน้ำ


ความนิยมที่หวนคืน
น่าแปลกที่ผู้ทำให้ความนิยมเทดดี้แบร์กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่กลายเป็นสินค้าอุตสาหกรรมไปแล้ว กลับไม่ใช่เป็นผู้ผลิต แต่เป็นนักแสดงละครโทรทัศน์ที่ชื่อปีเตอร์ บูลของอังกฤษ ซึ่งเผยความรักที่เขามีต่อเทดดี้แบร์ และความเชื่อของเขาที่ว่าเทดดี้แบร์มีความสำคัญต่ออารมณ์ของผู้ใหญ่เช่นเดียวกัน ภายหลังจากเขาได้รับจดหมายถึง 2,000 ฉบับแสดงความเห็นด้วยกับการที่เขาเปิดเผยความรู้สึกต่อสาธารณะ ปีเตอร์รู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้แต่เพียงลำพัง แรงบันดาลใจจากจดหมายเหล่านั้นทำให้เขาเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง เล่าประสบการณ์ของเทดดี้แบร์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขา หนังสือชื่อว่า หมีกับฉัน ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น “ เทดดี้แบร์บุ้ค ” ปรากฏว่าหนังสือของเขาตรงกับความรู้สึกของคนอีกหลายพัน ที่เชื่อว่าเทดดี้แบร์มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของตนเช่นเดียวกัน ปีเตอร์ บูลสร้างกระแสความนิยมเทดดี้แบร์ให้กลับมาอีกครั้งโดยมิได้ตั้งใจ แม้จะไม่ได้มากเท่ากับสมัยที่เป็นความนิยมในฐานะของเล่นเด็ก แต่กลายเป็นความนิยมในฐานะของสะสมสำหรับผู้ใหญ่ เทดดี้แบร์ ในวันนี้จึง “ ไม่ใช่ของเล่น ” สำหรับเด็กอีกต่อไป

ปี 1974 เบเวอร์ลี พอร์ต นักทำตุ๊กตาชาวอเมริกัน ผู้ชื่นชอบการทำ ตุ๊กตาหมี เธอนำ ตุ๊กตาหมี ฝีมือของเธอไปในงานแสดงตุ๊กตา ตุ๊กตาที่ชื่อ ธีโอดอร์ บี . แบร์ คล้องแขนกับตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งไปแสดงในงาน ปีต่อมา เบเวอร์ลี นำภาพสไลด์ที่เธอสาธิตการทำ ตุ๊กตาหมี ให้กับชมรมตุ๊กตาของสหรัฐมาฉาย การสาธิตของเธอสร้างความตื่นเต้นและตื่นตัวให้กับผู้ชมเป็นอันมาก ความตื่นตัวเริ่มต้นจากสหรัฐอเมริกาแล้วก็ขยายออกไปทั่วโลก ผู้คนจำนวนมากได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเบเวอร์ลี เริ่มแสดงความสามารถในการออกแบบ และตัดเย็บ ตุ๊กตาหมี ด้วยตนเองขึ้น นักออกแบบเทดดี้แบร์เกิดขึ้นมาคนแล้วคนเล่า ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้รับจากเบเวอร์ลี ผู้สร้างคำว่า “ ศิลปินเทดดี้แบร์ ” ขึ้นมา และถูกยกย่องว่าเป็นมารดาแห่ง ศิลปะเทดดี้แบร์ ทุกวันนี้ศิลปินเทดดี้แบร์หลายพันคนทั่วโลก สร้างสรรค์ผลงานจากในบ้าน ไปสู่มือนักสะสมผู้ชื่นชมหมีน้อยที่น่ารักและอบอุ่น
ปัจจุบันศิลปิน
ตุ๊กตาหมี สร้างสรรค์งานออกแบบให้กับผู้ผลิตแบบอุตสาหกรรม เพื่อให้นักสะสมมีโอกาสสะสมตุ๊กตาจากนักออกแบบ ในราคาที่ถูกลง อันเนื่องมาจากการผลิตเป็นจำนวนมากนั่นเอง
ความนิยมใน
ตุ๊กตาหมี เพิ่มมากขึ้นในฐานะเป็นของสะสมสำหรับผู้ใหญ่ ทำให้ราคา ตุ๊กตาหมี โบราณ ที่ทำด้วยมือ และคุณภาพดี ซึ่งกันทำในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 มีค่าสูงขึ้น ตุ๊กตาหมี โบราณที่ผลิตขึ้นในทศวรรษปี 1970 และ 1980 นำออกแสดงในงานประมูลตุ๊กตาและของเล่นโบราณกันมากขึ้น และราคาในการประมูลก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ราคาประมูลสูงสุดที่เคยมีการบันทึกคือในปี 1994 มีราคาสูงถึง 176,000 ดอลล่าร์ เป็นหมีที่ผลิตในเยอรมันโดยบริษัท ชไตฟ์ การประมูลกระทำกันที่ สถาบันการประมูลคริสตี้ ในสหรัฐอเมริกา
ถึงวันนี้ ยังไม่มีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่าความนิยมในเทดดี้แบร์จะลดน้อยถอยลง ในปี 1999 เฉพาะสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวตัวเลขการใช้จ่ายที่นักสะสมควักเงินซื้อ
ตุ๊กตาหมี สูงถึง 441 ล้านดอลล่าร์

วันจันทร์ที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2553

ลดความอ้วนด้วยสีอาหาร


การนับแคลอรีอาจเป็นวิธีการลดน้ำหนักหลายคนนิยมใช้ แต่การนับแคลอรีอย่างเข้มงวด ก็ไม่ง่ายนักทั้งยังทำให้เกิดความเครียดด้วย จนอาจทำให้คุณถอดใจจากการลดน้ำหนักก่อนจะประสบผลสำเร็จ ผู้เชี่ยวชาญจึงได้แนะนำวิธีใหม่ ๆ ที่จะทำให้คุณสามารถควบคุมแคลอรีได้อย่างง่าย ๆ และยังได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์อย่างครบถ้วนและสมดุลอีกด้วย นั่นก็คือ หันมานับจำนวนของสีสันจากอาหารที่จะเติมลงในจานอาหารของคุณแทน สีสันไม่เพียงแต่จะทำให้อารมณ์คุณแจ่มใสขึ้นเท่านั้น แต่สีสันอันหลากหลายจากอาหารยังทำให้การกินของคุณสดใสขึ้นด้วย เนื่องจากอาหารที่มีสีสันอันหลากหลาย มักเป็นอาหารผักและผลไม้ที่อุดมด้วยสารอาหาร และสารเคมีที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยสร้างสมดุลแก่สุขภาพและยังช่วยต่อสู้กับโรคร้ายต่าง ๆ รวมทั้งโรคมะเร็งได้ด้วย นอกจากประโยชน์ต่อสุขภาพแล้ว การเลือกกินอาหารตามสีสันยังมีผลโดยตรงต่อการลดน้ำหนักด้วย เพราะอาหารผักและผลไม้เป็นอาหารที่มีแคลอรีต่ำอยู่แล้วโดยธรรมชาติ เมื่อคุณเน้นการบริโภคอาหารหลากสีสัน คุณจึงควบคุมแคลอรีที่บริโภคเข้าไปในตัวโดยไม่ต้องมานั่งนับจำนวนแคลอรีอีกต่อไป


กฎสำคัญ คือ กินอาหารที่มีสีเบจและสีน้ำตาลให้น้อย ๆ อาหารในกลุ่มนี้ได้แก่ ขนมปัง พาสต้า เมล็ดถั่ว อาหารจากแป้งทั้งหลาย ถ้าเติมสิ่งเหล่านี้ลงในจานมากเกินไป ก็จะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอย่างไม่ต้องสงสัยเพราะอาหารเหล่านี้มักมีแคลอรีสูง และทำให้หิวได้ เช่น พาสต้าถ้วยหนึ่งมี 200 แคลอรี ขณะที่ผักสีแดงหรือสีเขียวหนึ่งถ้วย มีแคลอรีไม่ถึงหนึ่งร้อยจากหนังสือเรื่อง What Color is Your Diet? ของนพ.เดวิด เฮเบอร์ พบว่า หัวใจสำคัญในการบริโภคอาหารหลากสีสันก็คือ เลือกอาหารจากแต่ละกลุ่มที่ต่างกัน


กลุ่มสีเขียวเข้ม เช่น บร็อกโคลี กะหล่ำปลี ผักกวางตุ้ง จะช่วยกระตุ้นการทำงานของตับ ในการผลิตแอนไซม์ช่วยสลายสารเคมีที่ทำให้เกิดมะเร็งในร่างกาย


กลุ่มสีเหลือง/เขียว เช่น พืชตระฉันลถั่วสีเขียว (ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา) อะโวคาโด แตงเมลอนสีเขียว จะช่วยรัพกษาสุขภาตา


กลุ่มสีเหลือง/ส้ม เช่น แครอท มะม่วง แอปริคอต ฟักทอง มีแคโรตินอยด์ ที่ช่วยป้องกันมะเร็งและช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดหัวใจวาย

กลุ่มสีขาว เช่น กล้วย กะหล่ำดอก กระเทียม ขิง เห็ด มีประโยชน์อย่างมากในการรักษาสุขภาพหัวใจ


กลุ่มสีแดง เช่น มะเขือเทศ แตงโม เป็นอาหารที่อุดมด้วยไลโคปีน ซึ่งช่วยในการลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งต่อมลูกหมาก และโรคหลอดเลือดหัวใจ


กลุ่มสีแดง/ม่วง เช่น องุ่น ลูกพรุน แครนเบอร์รี่ สตรอว์เบอร์รี่ และแอปเปิ้ลแดง จะมีแอนโธไซอานินส์ ที่มีผลดีต่อโรคหัวใจด้วยการหยุดยั้งการเกิดลิ่มเลือด


กลุ่มสีม่วง/น้ำเงิน เช่น บลูเบอร์รี่ มะเขือม่วง ลูกพลัม ลูกเกด มีสารเคมีที่ดีต่อสุขภาพ เช่นแอนโธไซอานินส์ (Anthocyanins) และฟีโนลิกส์ (Phenolics) ช่วยทำให้ความทรงจำดีขึ้น

การช้อปปิ้งช่วยเผาผลาญแคลอรี่


การช้อปปิ้งของสาวๆ สามารถเผาผลาญแคลอรี่ 385 แคลอรี่ต่อสัปดาห์ การเดินช้อปปิ้งของผู้หญิงใน 1 ปี รวมๆ แล้วคิดเป็นระยะทาง 247 กิโลเมตร ใน 1 สัปดาห์ คุณผู้หญิงจะใช้เวลาช้อปปิ้งประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง คิดเป็นระยะทาง 4.7 กิโลเมตร ขณะที่ผู้หญิงเดินช้อปปิ้งแต่ละครั้งนั้นจะก้าวประมาณ 7,305 ก้าว เมื่อบวกกับน้ำหนักของคุณผู้หญิงที่เดินช้อปปิ้งแล้ว ไม่ต่างกับความรู้สึกในการออกกำลังกายในฟิสเนต ผลสรุปจากนักวิจัยพบว่า เวลาที่หมดไปกับการช้อปปิ้ง 3 ชั่วโมง จะเผาผลาญแคลอรี่ได้ 495 แคลลอรี่ หรือถ้านับเป็นปีก็ประมาณ 48,000 แคลอรี่ต่อปี

วันศุกร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Sophie Marceau









ชื่ออื่นๆ : ฟูซี่
วันเกิด : 17/11/1966
ที่เกิด : ปารีส France
เมืองที่เกิด : France
ส่วนสูง : 173






Born Sophie Daniele Sylvie Maupu in Paris, France, her career started at age 14 when Claude Pinoteau cast her in the starring role of the teenager movie La Boum (1980). Overnight, the film elevated her to teenage idol status in France and many other European countries. In 1983, she was honored with a Cesar Award (France's equivalent of an Oscar) for "Most Promising Actress". Two years later, the less funny but more sentimental sequel La Boum 2 (1982) increased her popularity further. At age 18, she played a more demanding role in Fort Saganne (1984), in which her co-stars were G้rard Depardieu and Catherine Deneuve. The same year she played with Jean-Paul Belmondo in Joyeuses Pโques (1984). She showed her dramatic skills in films directed by her long-time companion, director Andrzej Zulawski: L'Amour braque (1985), Mes nuits sont plus belles que vos jours (1989), La Note bleue (1991), and La Fid้lit้ (2000). Marceau rose to international stardom playing the part of Princess Isabelle in Mel Gibson's historical epic Braveheart (1995). Following this success, she appeared in A Midsummer Night's Dream (1999), and as Bond girl/villain Elektra King in the James Bond film The World Is Not Enough (1999). Marceau wrote a semi-autobiographical novel Telling Lies (2001), and tried directing as well. Making her directorial debut in a feature film, Sophie Marceau was awarded Best Director by the jury of the 2002 Montreal World Film Festival for her film Parlez-moi d'amour (Speak to Me of Love), starring Judith Godr่che. Prior to this, in 1995, she had made a 9-minute short film, L'Aube เ l'envers, which also starred her friend Godr่che.



ผลงานแสดงที่ผ่านมา
Female Agents(2008) ...ลูอิส
Alex And Emma(2003) ...โพลีน่า เดอลาครัวซ์
The World is Not Enough(1999) ...อเล็กตร้า
Brave heart(1995) ...เจ้าหญิง อิซาแบล





Pleurer comme une madeleine

Pleurer comme une madeleine
L'histoire de cette expression est de référence biblique...
Marie, de la ville de Magdala (aujourd'hui plus connue sous le nom de Marie-Madeleine), était une prostituée.Lorsqu'elle apprit la venue du prophète Jésus en la demeure d'un des " notables " de la ville, elle s'y rendit, et se mit aux genoux de celui-ci, baignant ses pieds de ses larmes, les essuyant ensuite avec ses cheveux avant de les arroser de parfum, tout en lui avouant ses péchés.La force de son repentir s'exprimant par ses larmes et sa contrition lui apportèrent le pardon de Jésus sur ses erreurs passées.Elle fut dès lors une de ses plus fidèles disciples.C'est elle également qui, découvrant l'absence de la pierre sur le tombeau de Jésus après sa mort par crucifixion, se mit à pleurer, et à laquelle le Christ ressuscité apparut en premier pour lui annoncer sa résurrection, lui demandant de sécher ses larmes.Aujourd'hui on appelle une Madeleine ou une Marie-Madeleine une ancienne prostituée ayant cessé ses activités.Ce sont les larmes de Marie de Magdala, versées abondamment et relatées dans la Bible, qui donnèrent le jour à l'expression connue aujourd'hui.Ainsi donc ceux qui s'imaginaient que l'expression pouvait avoir un rapport avec les tendres gourmandises fondantes de notre enfance se méprenaient... Mais ce peut être un très bon moyen de consoler et de sécher les larmes, en revanche, que d'en offrir...

วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553

นาฬิกา LONGINES



ประวัติความเป็นมา ชื่อ Longines นี้เป็นที่คุ้นหูคนไทยมานาน เป็นบริษัทผลิตนาฬิกาในสวิสที่เก่าแก่แห่งหนึ่ง มีจุดเริ่มต้นในปี ค.ศ. 1832 โดยนาย Auguste Agassiz ซึ่งทำงานอยู่ในแวดวงการทำชิ้นส่วนเกี่ยวกับนาฬิกาในเมือง Saint Emier เขาได้ร่วมกับเพื่อนของเขาอีกสองคนคือ Florian Morel และ Henri Raiguel แยกตัวออกมาทำธุรกิจร่วมกัน ในปี ค.ศ. 1852 หลานแท้ๆของ Auguste ได้เข้ามาช่วยเหลือลุงของเขาทำธุรกิจเนื่องจากลุงของเขามีปัญหาด้านสุขภาพ และได้เข้าบริหารงานอย่างเต็มตัวโดยมีลุงของเขาคอยเป็นที่ปรึกษาให้ เขาผู้นี้คือนาย Ernest Francillon ในปี ค.ศ. 1866 Francillon ได้เริ่มเห็นแนวโน้มของธุรกิจที่เขาได้ทำอยู่ว่าหากจะยังคงอยู่แต่ในธุรกิจการทำชิ้นส่วนนาฬิกาแต่เพียงอย่างเดียวนั้นการค้าขายอาจจะลำบากขึ้นเรื่อยๆ และหากจะให้ธุรกิจยังคงดำรงอยู่ได้จะต้องขยายงานในส่วนการประกอบเพื่อให้เป็นนาฬิกาที่สมบูรณ์ด้วย และแล้วเขาก็ได้ซื้อที่เพิ่มเติมเพื่อขยายโรงงานในเขตที่เรียกว่า Les Longines (แปลว่ายาวและแคบ) เป็นที่มาของชื่อแบรนด์ตราบเท่าทุกวันนี้ ส่วนตราสัญลักษณ์ที่เป็นรูปนาฬิกาทรายติดปีกนั้นได้รับการจดทะเบียนเป็นเครื่องหมายการค้าในวันที่ 19 กรกฎาคม ค.ศ. 1880 หลังการพัฒนาในส่วนนี้แล้วทำให้ลองจิ้นกลายเป็นผู้ผลิตนาฬิกาครบวงจรและมีชื่อเสียงต่อมาเนื่องจากได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการจับเวลาอย่างเป็นทางการของมหกรรมกีฬาระดับโลก ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงรางวัลต่างๆที่ได้รับจากการประกวดกลไกในด้านความเที่ยงตรงที่มีอีกมาก ปัจจุบันนี้ลองจิ้นได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทในเครือ Swatch Group

วันจันทร์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2553

การใช้หลอดไฟแบบประหยัดพลังงาน



บ้านไหนที่อยากใช้หลอดไฟแบบประหยัดพลังงาน วันนี้ มีวิธีมาบอก








  • ปิดไฟเมื่อไม่ใช้งาน

  • หมั่นทำความสะอาดหลอดแสงสว่างและโคมไฟ

  • ใช้แสงสว่างเท่าที่จำเป็น ในกรณีที่ต้องใช้กับสถานที่ที่ต้องเปิดไฟทิ้งไว้ตลอดคืน ควรใช้หลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์

  • บริเวณใดที่เคยใช้หลอดไส้ ควรหันมาเปลี่ยนเป็นหลอดคอมแพคฟลูออเรสเซนต์

  • ใช้หลอดประหยัดพลังงาน เช่น หลอดผอม (หลอดฟลูออเรสเซนต์) ซึ่งประหยัดพลังงานมากกว่าหลอดไส้ 4-5 เท่า และมีอายุการใช้งานนานกว่าหลอดไส้ 8 เท่า

  • ใช้แสงธรรมชาติ แทนการเปิดหลอดแสงสว่าง เช่น ห้องครัว ห้องเก็บของ ห้องน้ำ ทางเดิน เป็นต้น

  • ควรทาสีผนังห้องหรือเลือกวัสดุพื้นห้องที่เป็นสีอ่อน เพราะสีอ่อนสามารถเพื่อช่วยสะท้อนแสงสว่างภายในห้องได้ดีกว่าสีเข้ม ทำให้ไม่ต้องใช้หลอดที่กินไฟ(วัตต์)สูงเกินความจำเป็น




เพียงเท่านี้ก็สามารถใช้หลอดไฟแบบประหยัดพลังงานได้แล้ว









มะเขือเทศช่วยลดริ้วรอย


ทราบหรือไม่ว่า มะเขือเทศที่รับประทานนอกจากจะช่วยเสริมสุขภาพแล้ว ยังสามารถช่วยลดริ้วรอยได้อีก


เริ่มจากเตรียมมะเขือเทศ 10 ผลเล็กหรือ 3-4 ผลใหญ่ เครื่องปั่นหรือส้อม หมวกคลุมผมอาบน้ำหรือที่คาดผม มีดและถ้วย ล้างมะเขือเทศให้สะอาดแล้วใช้มีดผ่าครึ่งลูก นำใส่เครื่องปั่นหรือใช้ส้อมยีในถ้วย ไม่ต้องให้ละเอียดมาก จากนั้น ล้างหน้าให้สะอาดด้วยน้ำอุ่นกับสบู่หรือโฟมล้างหน้า แล้วใช้ผ้าขนหนูซับให้แห้ง ใส่หมวกคลุมผมหรือที่คาดผมเก็บผมให้เรียบร้อย แล้วนำมะเขือเทศที่เตรียมไว้มาพอกให้ทั่วบริเวณใบหน้า ยกเว้นที่ริมฝีปากและเปลือกตา ทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที โดยห้ามเคลื่อนไหวใบหน้า เมื่อครบกำหนดเวลาแล้ว ล้างหน้าออกด้วยน้ำอุ่นกับสบู่หรือโฟมล้างหน้าให้สะอาด แล้วซับหน้าให้แห้ง ควรทำทุกๆ 5 วันจะได้ผลดี เพื่อลดริ้วรอย และทำให้ใบหน้าเนียน ขาวใสเปล่งปลั่ง

รู้อย่างนี้แล้วลองนำวิธีที่แนะนำไปใช้กันดูได้.

วิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอน

ใครที่อยากนอนหลับสบายตลอดคืน วันนี้มีวิธีผ่อนคลายก่อนเข้านอนมาบอก

  • ไม่ควรดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนอย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนการเข้านอน ถ้าจำเป็นต้องดื่ม ก็ควรดื่มไม่เกิน 2 แก้ว
  • ปิดโทรศัพท์ก่อนเข้านอน เพื่อไม่ให้มีใครโทรมารบกวนเวลาที่ใกล้จะหลับ
  • นอนที่ที่รู้สึกสบายที่สุด และเป็นที่นอนที่ไม่เป็นแอ่ง เพราะอาจทำให้เกิดอาการปวดหลังและปวดไหล่ตอนตื่นนอนได้
  • เลือกหมอนที่รู้สึกว่านอนแล้วรับกับลำคอ
  • อาจเปิดเพลงช้าๆ ฟังสบายๆ เพื่อทำให้รู้สึกผ่อนคลาย อาจเป็นพลงบรรเลงเบาๆ หรือฟังเพลงโปรดก็ได้
  • ก่อนนอนพยายามเปิดแสงไฟนวลตา หรือไฟสีเหลืองส้มจะทำให้ดวงตาปรับแสงได้ดี ประสาทตาทำงานน้อยลง หลังจากปิดไฟนอนจะหลับสบายมากขึ้น
  • ก่อนนอนใส่เสื้อผ้าสบายๆ เลือกใส่ชุดนอนที่เป็นผ้าสบายๆ ไม่หนามากจนเกินไป เพื่อให้เหมาะกับอากาศ เและไม่ควรใส่ชุดชั้นในเวลานอน
  • ค่อยๆล้มตัวลงนอนกับหมอนนุ่มๆ แล้วสูดหายใจเข้าออกยาวๆ หลายๆครั้ง เมื่อเริ่มรู้สึกผ่อนคลายแล้วก็ค่อยๆ ปิดเปลือกตาลง

เพียงเท่านี้ก็สามารถทำให้หลับสบายตลอดคืนแล้ว.

วันพฤหัสบดีที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2553

กลอนนี้ขอมอบให้แม่ แทนคำขอบคุณ


How did you find the energy, Mom

To do all the things you did,

To be teacher, nurse and counselor

To me, when I was a kid.

How did you do it all, Mom,

Be a chauffeur, cook and friend,

Yet find time to be a playmate,

I just can't comprehend

I see now it was love, Mom

That made you come whenever I'd call

Your inexhaustible love, Mom

And I thank you for it all


ชาวอเมริกันเป็นผู้กำหนดให้มีวันแม่อย่างเป็นทางการขึ้น และผู้ที่พยายามเรียกร้องให้มีวันแม่ในอเมริกา คือ แอนนา เอ็ม. จาร์วิส คุณครูแห่งรัฐฟิลาเดลเฟีย แต่กว่าเธอจะประสบความสำเร็จก็ครบ 2 ปีพอดีในปี ค.ศ.1914 (พ.ศ.2457) โดยประธานาธิบดี วูดโรว์ วิลสัน ได้มีคำสั่งให้ถือวันอาทิตย์ที่ 2 ของเดือนพฤษภาคมเป็นวันแม่แห่งชาติ และดอกไม้สำหรับวันแม่ของชาวอเมริกันก็คือดอกคาร์เนชั่น ซึ่งจะแบ่งออกเป็น 2 แบบ คือถ้าแม่ยังมีชีวิตอยู่ให้ประดับตกแต่งบ้าน หรือประตูด้วยดอกคาร์เนชั่นสีชมพู แต่ถ้าแม่ถึงแก่กรรมไปแล้วให้ประดับด้วยดอกคาร์เนชั่นสีขาว

สำหรับในประเทศไทยนั้นมีการจัดงานวันแม่ขึ้นเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 10 มีนาคม พ.ศ.2486 ณ.สวนอัมพร โดยมีกระทรวงสาธารณสุขเป็นผู้จัดงาน แต่เนื่องจากช่วงนั้นเป็นช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 งานวันแม่ในปีต่อมาจึงต้องงดไปโดยปริยาย หลังจากผ่านพ้นวิกฤติสงครามไปแล้ว หลายหน่วยงานได้พยายามรื้อฟื้นให้มีวันแม่ขึ้นมาอีก แต่ก็ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร และมีการเปลี่ยนกำหนดวันแม่ไปหลายครั้ง แต่กำหนดวันแม่ที่ประชาชนนิยม และเป็นที่รับรองของรัฐบาล คือวันที่ 15 เมษายน โดยเริ่มจัดมาตั้งแต่ปี พ.ศ.2493 กำหนดงานวันแม่ในวันนี้ยังดำเนินต่อมาอีกหลายปี ก็ต้องมาหยุดชะงักลงอีก ด้วยเหตุผลที่ว่าสภาวัฒนธรรมแห่งชาติผู้จัดงานวันแม่ขาดผู้สนับสนุน ซึ่งก็คือกระทรวงวัฒนธรรมที่ถูกยุบไปนั่นเอง
ต่อมาสมาคมครูคาทอลิกแห่งประเทศไทย เห็นว่าควรมีการจัดงานวันแม่ต่อไป จึงได้รื้อฟื้นงานวันแม่ขึ้นมาอีก และได้กำหนดให้จัดงานวันแม่ คือวันที่ 4 ตุลาคม พ.ศ.2515 แต่จัดได้เพียงปีเดียวก็เลิกไป จนกระทั่งในปี พ.ศ.2519 คณะกรรมการอำนวยการสภาสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์เห็นว่าควรกำหนดวันแม่ให้แน่นอนเสียที จึงได้กำหนดวันแม่ใหม ่โดยให้ถือว่าวันเสด็จพระราชสมภพของ
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ วันที่ 12 สิงหาคม เป็นวันแม่แห่งชาติ และ กำหนดให้ดอกมะลิเป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ตั้งแต่นั้นมา



เหตุผลที่ให้ดอกมะลิ เป็นดอกไม้สัญลักษณ์ของวันแม่ ก็เนื่องจาก ดอกมะลิเป็นดอกไม้ที่มีสีขาวบริสุทธิ์ ส่งกลิ่นหอมไปไกลและหอมได้นาน อีกทั้งยังออกดอกได้ตลอดทั้งปี เปรียบได้กับความรักอันบริสุทธิ์ของแม่ที่มีต่อลูกไม่มีวันเสื่อมคลาย... นักภาษาศาสตร์ได้ตั้งข้อสังเกตไว้ว่า คำว่า "แม่" ของทุก ๆ ภาษา มาจากการออกเสียงของเด็ก โดยคำขึ้นต้นด้วยพยัญชนะริมฝีปากคู่ (Bilabial) ได้แก่ ม , พ , ป ,บ หรืออาจกล่าวได้ว่าเป็นพยัญชนะชุดแรกที่เด็กสามารถทำเสียงได้ โดยการใช้ริมฝีปากบนและล่าง ดังเช่น
ภาษาไทย แม่
ภาษาจีน ม๊ะ หรือ ม่า
ภาษาฝรั่งเศส la mere (ลา แมร์)
ภาษาอังกฤษ mom , mam


Plat Principal

Bifteck

Poisson avec pommes


Bifteck frites



















วันจันทร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2553

Les desserts





Muffins café et noix





Glace à la fraise







Tarte amandine aux fraises







Toast avocat et crevettes









Moussaka









Coeur de chocolat









Pain au levain


























วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

บทกลอน สอนใจ








  • Same dream of worthy accomplishments,while others stay awake and do them.บางฝันที่จะประสบความสำเร็จอย่างสวยหรู ในขณะที่บางคนกำลังลงมือกระทำ


  • The determined man finds the way,the other finds an excuse or alibi.ผู้ที่แน่วแน่และมุ่งมั่นจะหาหนทางแก้ปัญหา ในขณะที่คนอื่นจะหาหนทางแก้ตัว


  • You get the best out of others when you give the best of yourself.คุณจะได้รับสิ่งที่ดีที่สุดของคนอื่น เมื่อคุณได้ให้สิ่งที่ดีที่สุดของคุณไป


  • The secret of success in life is to be ready for your opportunity when it comes.ความลับของความสำเร็จคือเตรียมตัวให้พร้อมอยู่เสมอสำหรับโอกาสที่มาถึง


  • If you don’t stand for something,you’ll fall for anything.ถ้าคุณไม่อดทนต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง คุณก็จะล้มหลวในทุกๆสิ่ง


  • Learn from the mistakes of others.You can’t live long enough to make them all yourself.จงเรียนรู้จากความผิดพลาดของผู้อื่น เพราะเราไม่สามารถเรียนรู้ความผิดพลาดนั้นได้ทั้งหมดในช่วงชีวิตของเราเอง


  • Who never made a mistake never made a discovery.คนที่ไม่เคยกระทำผิดคือคนที่ไม่ได้ค้นหาสิ่งใด


  • It is never too late to be what you might have been.ไม่เคยมีคำว่าสายเกินไปที่จะเป็นในสิ่งที่คุณอยากจะเป็น


  • Remember to always dream. More importantly to make those dreams come true and never give up.จงฝันอยู่เสมอ ที่สำคัญมากไปกว่านั้นคือ ทำความฝันนั้นให้เป็นความจริง และอย่ายอมแพ้

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Chocolate ช็อคโกแลต หวานๆ ขมๆ ผสมทั้งประโยชน์-โทษ


"ช็อคโกแลต" ของหวานยอดนิยมตลอดปีไม่มีตกยุค โดยเฉพาะเทศกาลแห่งความสุขทั้งคริสต์มาส ปีใหม่ หรือวาเลนไทน์ ใครๆ ต่างก็นิยมลิ้มรสหอมละมุนหวานละไมของช็อคโกแลตเป็นการใหญ่ แม้ความขมของโกโก้ที่ซ่อนอยู่ในความหวานของช็อคโกแล็ตมีสารสำคัญที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของเราอยู่ไม่น้อย แต่หากบริโภคอย่างไม่บันยะบันยังส่งผลร้ายให้ร่างกายก็เป็นได้ เทศกาลแห่งความสุขเริ่มขึ้นทีไร สารพัด "ช็อคโกแลต" ต้องเข้าไปมีเอี่ยวด้วยทุกที แต่เพราะความหวานจับจิตของน้ำตาลและความมันเนยของนมที่ผสมผสานกับโกโก้ ทำให้หลายคนพรั่นพรึงกับโรคอ้วนมากกว่าจะนึกถึงคุณประโยชน์อื่นที่ซุกซ่อนอยู่ในช็อคโกแลต ซึ่งนักวิทยาหลายสำนักที่สนใจค้นหาความลับของช็อคโกแลตก็พบว่าในขนมหวานสีน้ำตาลดำชนิดนี้มีคุณค่านานาแฝงอยู่ในความอร่อยสุดลึกล้ำ เมล็ดโกโก้ (cacao) เป็นส่วนประกอบหลักที่ถูกปรุงแต่งด้วยนม น้ำตาล และส่วนผสมอื่นๆ เพื่อเพิ่มความหลากหลายในรสชาติให้กับนานาช็อคโกแลต แต่ที่รู้จักกันดีก็มีช็อคโกแลตนม (milk chocolate) หวานมันกลมกล่อม, ช็อคโกแลตดำ (dark chocolate) เข้มเต็มรสชาติโกโก้ และ ช็อคโกแลตขาว (white chocolate) ที่มีแต่โกโก้บัตเตอร์ (cocoa butter) หรือไขมันโกโก้ แต่ไม่มีเนื้อโกโก้ (cocoa solids) นอกจากรสชาติหอมหวานชวนลิ้มลองแล้ว ช็อคโกแลตยังมีเสน่ดึงดูดเหล่านักวิจัยให้ค้นหาความลับที่ซ่อนอยู่ภายใต้ความอร่อยนี้มานานนับพันปี ฟลาโวนอยด์ (flavonoid) สารต้านอนุมูลอิสระที่มีอยู่มากมายในเมล็ดโกโก้ เป็นยาวิเศษขนานหนึ่งที่ทำให้คนที่กินช็อคโกแลตอยู่ห่างไกลจากโรคหัวใจและมะเร็งได้ ซึ่งศาสตราจารย์โรเจอร์ คอร์เดอร์ (Roger Corder) นักวิทยาศาสตร์การอาหาร มหาวิทยาลัยลอนดอน อังกฤษ วิจัยแล้วพบว่าในช็อคโกแลตดำมีสารโกโก้ฟาโวนอยด์ (cocoa flavonoids) สูงกว่าช็อคโกแลตอื่นๆ สารโกโก้ฟาโวนอยด์ช่วยส่งเสริมระบบไหลเวียนโลหิต เสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือดให้ยืดหยุ่นและแข็งแรง ป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่ม ช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเส้นเลือดในสมองอุดตัน ความดันโลหิตสูง และหัวใจวาย นอกจากนี้ในช็อคโกแลตยังอุดมด้วยกรดอะมิโนทริปโตแฟน (tryptophan) ซึ่งใครก็ตามที่กินช็อคโกแลตเข้าไป ทริปโตแฟนจะไปกระตุ้นให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข "เซโรโทนิน" (serotonin) ออกมาละลายความตึงเครียดให้มลายหายไปและแทนที่ด้วยความรู้สึกสุขสดชื่น งานวิจัยของศาสตราจารย์คาร์ล คีน (Prof. Carl Keen) และคณะจากมหาวิทยาลัยแห่งรัฐแคลิฟอร์เนียในเมืองดาวิส (University of California at Davis) สหรัฐฯ ทดลองให้อาสามัคร 30 คน ดื่มเครื่องดื่มทุกชนิด ได้แก่ น้ำ, โก้โก้ และเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน โดยดื่มครั้งละ 1 ชนิด ในช่วงเวลาต่างกันตามที่กำหนด และต้องเจาะเลือดออกมาตรวจทุกครั้งทั้งก่อนและหลังดื่ม พบว่าทุกครั้งหลังจากดื่มโกโก้ เกร็ดเลือด (Platelet) ของอาสาสมัครทุกคนจับตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อนน้อยกว่าเมื่อดื่มน้ำเปล่าหรือเครื่องดื่มคาเฟอีนชนิดอื่น แสดงว่าโกโก้สามารถป้องกันไม่ให้เลือดจับตัวกันเป็นลิ่มจนทำให้เส้นเลือดตีบตัน จึงช่วยลดภาวะเส้นเลือดอุดตันและสดความเสี่ยงหัวใจวายกระทันหันได้ ส่วน ดร.ไบรอัน เราเดนบุช (Dr. Bryan Raudenbush) จากมหาวิทยาลัยวีลลิง เยซูอิต (Wheeling Jesuit University) เวสต์ เวอร์จิเนีย สหรัฐฯ เปิดเผยความลับของช็อคโกแลตว่าเป็นแหล่งของสารกระตุ้นให้ร่างกายรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่าทุกครั้งที่กินชอคโกแลตเข้าไป เช่น ทีโอโบรมีน (theobromine), ฟีนีไทลามีน (phenethylamine) และคาเฟอีน (caffeine) ดร.เราเดนบุช ทดลองใช้โปรแกรมคอมพิวเตอร์วัดการสั่งงานของสมองและทดสอบปฏิกิริยาต่างๆ ของอาสาสมัครที่กินช็อคโกแลตดำ, ช็อคโกแลตนม เปรียบเทียบกับกลุ่มที่ไม่ได้กินอะไรเลย ก็พบว่ากลุ่มที่กินช็อคโกแลตมีปฏิกิริยาตอบสนองดีกว่า โดยเฉพาะกลุ่มที่กินช็อคโกแลตนมจะตอบสนองในส่วนของความจำได้ดีกว่ากลุ่มอื่น
นี่เป็นเพียงส่วนเสี้ยวของงานวิจัยมากมายที่นักวิทยาศาสตร์ศึกษาเกี่ยวกับคุณประโยชน์ของช็อคโกแลต และคงทำให้หลายคนที่พิศมัยในความหอมหวานของช็อคโกแลตรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันทีเมื่อรู้ว่าขนมหวานสุดโปรดปรานนี้ไม่ได้มีดีแค่ความอร่อยอย่างเดียว แต่ยังมากคุณค่าของสารสำคัญที่มีประโยนช์ต่อร่างกายและป้องกันโรคภัยหลากชนิด