วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Cathédrale Saint-Pierre

มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม (Cathédrale Saint-Pierre d'Angoulême)

มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม หรือ มหาวิหารอองกูเล็ม (ฝรั่งเศส:Cathédrale Saint-Pierre d'Angoulême(ออกเสียง Angoulême),อังกฤษ:Angoulême Cathedral)มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็มเป็นวัดคริสต์ศาสนา ของนิกายโรมันคาทอลิกที่มีฐานะเป็น มหาวิหารของสังฆมณฑลอองกูเล็มที่ตั้งอยู่ที่เมืองอองกูเล็ม ในประเทศฝรั่งเศส สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแบบโรมาเนสก์ มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม ซึ่งเป็นมหาวิหารที่เป็นตัวอย่างอันเด่นของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ ได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิหารในปี ค.ศ.1017


ประวัติ

มหาวิหารแรกที่สร้างสร้างบนสถานที่เดิมเป็นศาสนสถาน ก่อนยุคคริสเตียน ในมหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม ใช้เวลาสร้างทั้งหมดเริ่มสร้างเป็นครั้งแรกเมื่อปี ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 วัดถูกทำลายเมื่อโคลวิสที่ 1 เข้ามายึดเมืองหลังจาก Battle of Vouillé ในปี ค.ศ.507 มหาวิหารต่อมาได้รับการสถาปนาในปี ค.ศ.560 แต่ก็มาถูกเผาโดยไวกิง และ นอร์มันราวสองร้อยปีต่อมามหาวิหารที่สามสร้างขึ้นภาพใต้การอำนวยการ ของสังฆราชกริโมดเจ้าอาวาสแห่งวัดแซงต์ปิแยร์แห่งบรานโทม และได้รับการสถาปนาในปี ค.ศ.1017 เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ประชาชนเห็นพ้องกันว่าวัดมีขนาดเล็กไปกว่าฐานะของเมือง การออกแบบมหาวิหารใหม่ทำโดยสังฆราชเจอร์ราร์ดที่สอง ผู้เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของฝรั่งเศสในยุคนั้นผู้เป็น ศาสตราจารย์ ผู้เทนพระสันตะปาปาสี่พระองค์ และเป็นศิลปินผู้มีฝีมือด้วย งานสร้างมหาวิหารเริ่มขึ้นราวปี ค.ศ.1110 และมาสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1128ลักษณะรูปทรงของมหาวิหารก็ได้รับเปลี่ยนแปลงไป จากการซ่อมแซมและขยายตัวในช่วงหลายร้อยปีที่ตามมา เช่นหอระฆังที่ถูกทำลายไประหว่างสงครามศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นอกจากนั้นก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างการบูรณปฏิสังขรณ์ โดยพอล อบาดีระหว่างปี ค.ศ.1866 ถึงปี ค.ศ.1885 ที่รวมทั้งการสร้างหอใหม่สองหอที่คลุมด้วยหลังคาทรงกรวย จะมีก็แต่มุขด้านตะวันตกหรือด้านหน้าเท่านั้น ที่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นสถาปัตยกรรมของยุคกลางสถาปัตยกรรมและศิลปะด้านหน้าของมหาวิหารตกแต่งด้วยประติมากรรมถึงกว่า 70 รูป ที่จัดเป็นสองหัวข้อ “อัสสัมชัญของพระเยซู” และ “การตัดสินครั้งสุดท้าย” ที่ผสานกันอย่างกลมกลืน พระเยซูปรากฏพระองค์ในกรอบมันดอร์ลา (mandorla) ขณะที่เทพสององค์ชี้ให้สาวกเห็นมโนทัศน์ ใบหน้าของผู้ศรัทธาภายใต้ซุ้มโค้งต่างก็มองไปทางพระมหาไถ่ ขณะที่ผู้สร้างบาปถูกผลักเข้าไปตามซอกซุ้มโค้ง ให้ถูกลงโทษเป็นเหยื่อของซาตาน นอกจากสองหัวข้อนี้แล้ว ประติมากรก็ยังสร้างภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตประจำวัน ที่รวมทั้งการล่าสัตว์ภายในสิ่งก่อสร้างเป็นทางเดินกลางที่อยู่ภายใต้โดมสามโดม แขนกางเขนยาวจรดหอทางด้านเหนือและใต้ มุขตะวันออกเป็นชาเปลกระจายออกไปสี่ชาเปล ตรงจุดตัดระหว่างทางเดินกลางและแขนกางเขนเป็นโดมขนาดใหญ่ ที่สร้างแทนโดมเดิมที่ถูกทำลายไประหว่างการถูกล้อมโดยโปรเตสแตนต์ในปี ค.ศ.1568 เดิมแขนกางเขนส่องสว่างด้วยหอตะเกียง (lantern tower) สองหอ แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียงหอเดียว (พอล อบาดีทำการขยายต่อเติม และย้ายประติมากรรมของยุคกลางออกไป)บริเวณร้องเพลงสวดครึ่งวงกลม ขนาบด้วยมุขขนาดเล็กสองมุขที่คลุมด้วยโดมครึ่งโดม

วันจันทร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ดูแลสุขภาพหน้าหนาว


ลมหนาวเริ่มพัดมา อาจทำให้หลายคนป่วยไข้ได้ วันนี้มีวิธีการดูแลสุขภาพช่วงหน้าหนาวมาฝาก สิ่งแรก รักษาสุขภาพให้แข็งแรงอยู่เสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ครบ 5 หมู่ ดื่มน้ำมาก ๆ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ควรหลีกเลี่ยงการอยู่ใกล้ชิดกับผู้ที่ป่วยเป็นไข้หวัด หรือไข้หวัดใหญ่ และไม่ควรใช้ของร่วมกัน เช่น ผ้าเช็ดหน้า แก้วน้ำ จาน ชาม ช้อน เป็นต้น ดูแลเรื่องผิวหนัง โดยการทำให้ร่างกายอบอุ่นอยู่ตลอดเวลา ใส่เสื้อผ้าหนา ๆ ในกรณีมีปัญหาริมฝีปากแตก ควรทาด้วยลิปสติกมัน และไม่ควรเลียริมฝีปากบ่อย ๆ สำหรับมือควรล้างบ่อย ๆ เนื่องจากอาจไปสัมผัสกับเชื้อโรคที่อยู่ตามสิ่งของต่าง ๆ ให้ล้างมือด้วยสบู่ธรรมดา 15 - 20 วินาที หรือใช้น้ำยาล้างมือ วิธีไม่ยาก ลองปฏิบัติดูเพื่อสุขภาพ

สูตรลับผิวสวยด้วยน้ำ

ดื่มน้ำเฉพาะตอนที่คอแห้ง เพื่อดับกระหาย หรือดื่มระหว่างทานอาหารเท่านั้น คงยังไม่เพียงพอ! ถ้าอยากผิวสวยและสุขภาพดี แบบไม่ต้องลงทุนซื้อครีมบำรุงกระปุกละเป็นหมื่น ลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมในการดื่มน้ำกันใหม่ ด้วย 7 เทคนิคการดื่มน้ำสไตล์เอเวียงจากฝรั่งเศส
1) เริ่มต้นวันใหม่ด้วยการดื่มน้ำ ลองดื่มน้ำแร่ธรรมชาติให้ได้วันละ 2 ลิตร ติดต่อกันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ เพื่อให้ร่างกายได้รับน้ำบริสุทธิ์ในปริมาณที่ต้องการ และคุณจะสังเกตเห็นความแตกต่าง น้ำไม่เพียงจะช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง แต่ยังควบคุมอุณหภูมิในร่างกายให้เหมาะสม, ช่วยย่อยและดูดซึมอาหาร รวมทั้งขับของเสียไปตามกระแสเลือด
2) วางน้ำดื่มไว้ข้างเตียงก่อนเข้านอน ถ้าตื่นขึ้นมากลางดึก จะได้เทน้ำดื่มสักแก้ว เพื่อเพิ่มความสดชื่นให้ร่างกาย และช่วยให้สามารถนอนหลับต่อได้อย่างง่ายดาย
3) พกพาน้ำดื่มติดตัวไปทุกที่ ทั้งในรถ, ระหว่างการเดินทาง, เวลานั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์ หรือตอนดูทีวี การดื่มน้ำให้ติดเป็นนิสัยจะทำให้สุขภาพดี
4) ดื่มน้ำจากขวดให้ได้บ่อยที่สุด เป็นวิธีที่ดีในการเพิ่มปริมาณการดื่มน้ำของคุณ เพราะทำให้ดื่มง่ายและสะดวกต่อการพกพา
5) ดื่มน้ำให้สม่ำเสมอเมื่อเล่นกีฬา โดยดื่มน้ำก่อนและระหว่างการออกกำลังกาย นอกจากนี้ ยังควรดื่มน้ำหลังจากเล่นกีฬาในปริมาณที่มากพอ เพื่อชดเชยการเสียเหงื่อของร่างกาย
6) ไดเอตด้วยน้ำ ดื่มน้ำ 1 แก้ว ก่อนรับประทานอาหารกลางวัน จะช่วยลดอาการหิว และควบคุมปริมาณการทานอาหาร
7) ดื่มน้ำหลังอาหารกลางวัน ช่วยให้สามารถหลีกเลี่ยงการดื่มเครื่องดื่มที่มีแคลอรีสูงประเภทอื่นๆได้.

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

นางพญาเสือโคร่ง ซากุระเมืองไทย


นางพญาเสือโคร่ง ซากุระเมืองไทย บนดอยลาง อุทยาแห่งชาติฟ้าห่มปก


"นางพญาเสือโคร่ง" หรือที่ใคร ๆ ก็รู้จักในนาม "ซากุระแห่งเมืองไทย" นั้น เป็นไม้สกุล บ๊วยท้อ ซากุระ สามารถพบที่ประเทศไทย บนภูเขาที่มีความสูงกว่าระดับน้ำทะเลประมาณ 1,000 - 2,000 เมตรใครจะเรียกนางพญาเสือโคร่ง, ชมพูภูพิงค์ หรือ ซากุระ ก็ตาม สำหรับฉันที่เห็นดอกไม้เล็ก ๆ สีชมพูหวาน บานเป็นพุ่ม บนกิ่งไม้เรียวเล็กสีน้ำตาลเข้ม บานสะพรั่งตามสองข้างทางที่ขับรถผ่านช่างเหมือน "สาวน้อยวัยขบเผาะ" ที่กำลังเริงร่า แข่งกันเบ่งบานรับแสงตะวัน สีชมพูอร่ามตัดกับพืชพันธุ์ไม้สีเขียวที่ไม่ยอมน้อยหน้า ไม่ต้องรอให้ฝนตกจากฟากฟ้า ณ วินาทีนี้ เป็นอะไรที่ชุ่มฉ่ำใจที่ได้มาสัมผัส ซากุระแห่งเมืองไทย โดยที่ไม่ต้องไปไกลถึงญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน เลย


นึกถึงนางพญาเสือโคร่ง หลายคนอาจนึกถึงดอยขุนแม่ยะ ดอยขุนช้างเคี่ยน ดอยปุย,ดอยอินทนนท์,หรือที่ขุนวางแล้วแต่ใคร ๆ จะมุ่งไป"อุทยานแห่งชาติดอยฟ้าห่มปก"แบ่งแนวเขตระหว่างประเทศไทยกับประเทศพม่า สูงกว่าระดับน้ำทะเลที่ 2,000 เมตร

วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ตุ๊กตาหมี เทดดี้แบร์










เมื่อยามเหงาเพื่อนๆ นึกถึงอะไรกันบ้างคะนึกถึง "ตุ๊กตาหมี เทดดี้แบร์"กันบ้างหรือปล่าว



เทดดี้แบร์เพิ่งจะปรากฏตนเป็นเพื่อนของเราเมื่อไม่นานมานี้เอง เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อ 100 ปีที่แล้ว ในปี ค.ศ.1902ที่เกิดเหตุการณ์ในคนละฟากมหาสมุทร ทั้งในสหรัฐอเมริกาและเยอรมัน จนเป็นกำเนิดของตุ๊กตาหมี ที่ชื่อ เทดดี้แบร์
เรื่องราวในสหรัฐอเมริกาเล่ากันว่า เทดดี้แบร์มาจากการวาดของนักเขียนการ์ตูนล้อการเมืองที่ชื่อ คลิฟฟอร์ด เบอร์รีแมน วาดภาพที่ชื่อว่า "Drawing the Line in Mississippi" เป็นภาพประธานาธิบดี ธีโอดอร์ รูสเวลท์ ปฏิเสธจะยิงลูกหมีที่ถูกจับล่ามเอาไว้กับต้นไม้ ตามเรื่องราวที่เล่ากันมาบอกว่า ประธานาธิบดีรูสเวลท์ เดินทางไปมลรัฐมิสซิสซิปปี้เพื่อช่วยเจรจาแบ่งเส้นพรมแดนที่มีปัญหากับรัฐลุยส์เซียน่า และเจ้าภาพให้การต้อนรับผู้นำของประเทศโดยชวนไปล่าหมีในป่า แต่โชคร้ายที่ไม่พบหมีให้ล่า จึงมีคนหัวใสนำเอาลูกหมีมาให้ แต่ประธานาธิบดีปฏิเสธที่จะยิงหมีที่ถูกล่ามเช่นนั้น ทำให้นายเบอร์รีแมนนักวาดภาพการ์ตูนประทับใจจึงวาดภาพนี้ขึ้นมา

ประธานาธิบดีรูสเวลท์กับการ์ตูนในวอชิงตันโพสต์


การ์ตูนปรากฏใน เดอะวอชิงตันโพสต์ ฉบับวันที่ 16 พฤศจิกายน 1902 และเป็นที่กล่าวขวัญกันมาก เป็นแรงบันดาลใจให้สามีภรรยาที่ชื่อ มอร์ริส และโรส มิชทอมส์ ซึ่งอยู่ในนิวยอร์คทำ ตุ๊กตาหมี ขึ้น เพื่อยกย่องการกระทำของประธานาธิบดีรูสเวลท์ ครอบครัวมิชทอมส์ตั้งชื่อ ตุ๊กตาหมี ของตนว่า “ เทดดี้แบร์ ” มาจาก เทดดี้ อันเป็นชื่อเล่นของ ธีโอดอร์ รูสเวลท์ และนำวางโชว์ที่ตู้กระจกหน้าร้านขายลูกกวาดและเครื่องเขียนของตน ตุ๊กตาที่วางโชว์หน้าร้านตัวนี้ ต่างจาก ตุ๊กตาหมี ที่เคยทำกันมาซึ่งมักจะมีหน้าตาดุร้าย และยืนสี่ขาเหมือนกับหมีจริง แต่หมีของครอบครัวมิชทอมส์เป็นลูกหมีดูน่ารัก ไร้เดียงสา ยืนตัวตรงเหมือนหมีในการ์ตูนของเบอร์รี่แมน นี่อาจจะเป็นเหตุผลที่ทำให้ ตุ๊กตาหมี “ เทดดี้แบร์ ” ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า จนครอบครัวมิชทอมส์สามารถตั้งโรงงานผลิต ตุ๊กตาหมี ขึ้นเป็นครั้งแรกในอเมริกา ที่ชื่อว่า Ideal Novelty and Toy


ขณะเดียวกัน อีกฟากหนึ่งของมหาสมุทร ริชาร์ด ชไตฟ์ ชายหนุ่มผู้ทำงานกับป้า มาร์กาเร็ตเท ชไตฟ์ ( Margarete Steiff)นักธุรกิจของเล่นเด็กในเยอรมัน ริชาร์ดเรียนมาทางด้านศิลปะ เขาชอบวาดรูป และไปที่สวนสัตว์ในสตุตการ์ตบ่อย ๆ เชไตฟ์ จะทำ ตุ๊กตาหมี ในเวลาไล่เลี่ยกัน แต่ขณะนั้นการสื่อสารยังไม่เจริญเท่าใด ทั้งคู่จึงไม่ล่วงรู้ถึงความคิดสร้างสรรค์ของกันและกัน ตุ๊กตาหมี ของมิชทอมส์เป็นลูกหมีตาโต ตามการ์ตูนที่วาดโดยเบอร์รี่แมน ส่วนของหมีชไตฟ์มีลักษณะหลังค่อม จมูกยาว ดูเหมือนลูกหมีจริง ๆ มากกว่า
ไม่นานหลังจากนั้น เดือนมีนาคมปี 1903 ในงานแสดงของเล่น เมืองลิปซิกในเยอรมัน ชไตฟ์เปิดตัว ตุ๊กตาหมี ครั้งแรกในงานนี้ แต่พ่อค้าชาวยุโรปไม่ค่อยให้ความสนใจนัก ตรงกันข้ามพ่อค้าของเล่นชาวอเมริกัน ซึ่งรู้ว่าชาวอเมริกันกำลังสนใจ “ เทดดี้แบร์ ” จึงสั่งซื้อทีเดียว 3,000 ตัว ชไตฟ์จึงเข้าสู่ตลาดอเมริกาในจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมอย่างที่สุด
ภาพการ์ตูนในวอชิงตันโพสต์


ความคลั่งไคล้เทดดี้แบร์
ปี 1906 ความคลั่งไคล้ ตุ๊กตาหมี เทดดีแบร์ของคนอเมริกันถึงขีดสุด พอ ๆ กับความนิยมตุ๊กตาหัวกะหล่ำปลี (Cabbage Patch Kid) ในทศวรรษปี 1980 และตุ๊กตาบีนนี่บาบี้ (Beanie Babie) ในทศวรรษปี 1990 เวลานั้นสาว ๆ ถือ ตุ๊กตาหมี กันไปทุกหนแห่ง เด็กๆ นิยมถ่ายรูปคู่กับตุ๊กตาเทดดี้แบร์ ประธานาธิบดีรูสเวลต์ ใช้ ตุ๊กตาหมี เป็นสัญญลักษณ์ในการหาเสียงเลือกตั้งจนได้เป็นประธานาธิบดีในสมัยที่สอง ซีมัวร์ อีตัน นักการศึกษาและคอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์เขียนหนังสือชุดสำหรับเด็กเกี่ยวกับการผจญภัยของหมีที่ชื่อรูสเวลต์ นักแต่งเพลงชาวอเมริกันชื่อ เจ . เค . แบรตตัน แต่งเพลง “The Teddy Bear Two Step” ต่อมาได้เปลี่ยนเป็นชื่อ “The Teddy Bear's Picnic” ซึ่งยังคงร้องกันมาจนถึงทุกวันนี้ ผู้ผลิต ตุ๊กตาหมี ในอเมริกาทำ ตุ๊กตาหมี ออกมาทุกสีสันและทุกประเภท ตั้งแต่ ตุ๊กตาหมี บนรองเท้าสเก็ตน้ำแข็ง ไปจนถึง ตุ๊กตาหมี ที่มีตาเป็นหลอดไฟ คำว่า “ เทดดี้แบร์ ” กลายเป็นคำซึ่งเป็นที่เข้าใจกันว่าหมายถึง ตุ๊กตาหมี แม้กระทั่งชไตฟ์ผู้ผลิต ตุ๊กตาหมี ในเยอรมัน ก็รับเอาคำนี้ในการเรียก ตุ๊กตาหมี ของตน
ไม่ใช่เพียงบริษัทสตีฟและบริษัทไอเดียลเท่านั้นที่อยู่ในธุรกิจนี้ แต่มีบริษัทอีกนับสิบบริษัทในอเมริกาที่เปิดกันขึ้นมาในยุคนั้น แต่ส่วนใหญ่แล้วก็ปิดกิจการในเวลาต่อมา เหลือเพียงบริษัท กันด์แมนูแฟคเจอริ่ง ที่ก่อตั้งในปี 1906 และยังคงทำ
ตุ๊กตาหมี มาถึงปัจจุบัน


ตุ๊กตาหมีของชูโกขนาด 12 นิ้ว เรียกว่าหมี Yes/No เพราะมันจะพยักหน้า เมื่อมีการขยับหางบริษัทผู้ผลิตเทดดี้แบร์ของอเมริกาเผชิญหน้ากับการแข่งขันจาก ตุ๊กตาหมี เยอรมัน ซึ่งผู้ผลิตส่วนใหญ่ของเยอรมันเป็นบริษัทเก่าแก่และมั่นคง หลายบริษัทร่วมมือกับเสตียฟในการทำ ตุ๊กตาหมี ที่มีคุณภาพออกมา อย่างเช่น บิง,ชูโก,และ เฮอร์มาน เป็นต้น ทำให้บริษัทอเมริกันจำนวนมากสู้ไม่ได้ ต้องปิดกิจการไป
ในอังกฤษมีบริษัท เจ.เค.ฟาร์เนลแอนด์โค ที่เป็นต้นกำเนิดของ วินนี่เดอะพูห์ซึ่งคริสโตเฟอร์ โรบิน ไมล์นได้รับเป็นของขวัญวันเกิดจากคุณแม่ในปี 1921 ห้าปีต่อมาพ่อของเขา เอ.เอ.ไมล์นพิมพ์หนังสือวินนี่เดอะพูห์เรื่องออกจำหน่าย เป็นเรื่องการผจญภัยของลูกชายที่ชื่อคริสโตเฟอร์ โรบินกับ วินนี่เดอะพูห์ และเพื่อนตุ๊กตาสัตว์อื่น ๆ ทุกวันนี้เราสามารถชมตุ๊กตาของจริงที่เป็นแรงบันดาลใจในการเขียนเรื่อง วินนี่เดอะพูห์ ได้ที่ห้องเซ็นทรัลชิลเดร็นของห้องสมุดสาธารณะนิวยอร์คสาขาดอนเนลล์ ในขณะที่หนังสือ วินนี่เดอะพูห์ ก็ยังคงได้รับความนิยมอย่างไม่เสื่อมคลาย
การชะงักงันในการผลิต ตุ๊กตาหมี ในยุโรป อันเนื่องจากสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ยาวนานถึง 4 ปี ทำให้ ตุ๊กตาหมีส่วนใหญ่ยังนิยมทำด้วยมือที่มีคุณภาพดี มายาวนานถึง 25 ปี สงครามโลกครั้งที่ 1 ทำให้ ตุ๊กตาหมี จากเยอรมันหยุดการผลิต จึงมีโรงงาน ตุ๊กตาหมี ใหม่ ๆ เกิดขึ้น เช่น ชาดเวลเล่ย์ , ชิลเทิร์น และดีน ร่วมมือกับ ฟาร์เนลล์ในอังกฤษ พินเทล และ ฟาดาป ตั้งขึ้นในฝรั่งเศส จอยทอยส์ ในออสเตรเลีย เป็นต้น วัสดุที่ใช้ในการทำตุ๊กตามีการเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกัน ตาที่ทำด้วยปุ่มรองเท้าบูต เปลี่ยนเป็นตาที่ทำจากแก้ว วัสดุที่ใช้บรรจุในตัวตุ๊กตาเปลี่ยนจากนุ่นเป็นวัสดุออย่างอื่นที่นุ่มกว่า


อเมริกาไม่ค่อยได้รับผลกระทบจากสงคราม อุตสาหกรรม ตุ๊กตาหมี จึงเติบโตอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น บริษัท นิคเกอร์บ็อคเกอร์ ก่อตั้งในปี 1920 ก็ยังคงทำตุ๊กตาเทดดี้แบร์มาจนถึงทุกวันนี้
เก้าปีต่อมาแม้ว่าอเมริกาจะมีภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และผู้ผลิต
ตุ๊กตาหมี ส่วนใหญ่ประสบปัญหาการเงิน หลังจากปี 1929 บริษัทในอเมริกาจำนวนมากถ้าไม่หาวิธีทำ ตุ๊กตาหมี ด้วยต้นทุนที่ถูกลง ก็ต้องปิดตัวเองไป
ในระหว่างทศวรรษปี 1920-1930 หมีที่มีเสียงดนตรี และหมีไขลานเป็นที่นิยมกันมาก มีการผลิตกันทั่วโลก บริษัทที่ขายดีที่สุดอาจจะเป็นบริษัทเยอรมันสองบริษัทที่ชื่อ ชูโก และ บิง สองบริษัทนี้ทำทั้ง หมีที่เดินได้ เต้นรำได้ เล่นลูกบอล และแม้กระทั่งหมีตีลังกา
แต่สงครามโลกครั้งที่ 2 ในปี 1939 ทำให้ธุรกิจ
ตุ๊กตาหมี ชะงักงันลงอีก แทนที่คนงานจะผลิตตุ๊กตา ต้องไปผลิตยุทธปัจจัยสำหรับสงครามแทน บางบริษัทปิดตัวเองลงและไม่เคยเปิดอีกเลย


ความเปลี่ยนแปลงหลังปี 1950
ขณะที่ผู้ผลิตเทดดี้แบร์ดั้งเดิมยังคงภูมิใจกับตุ๊กตาที่เย็บด้วยมือ และเส้นใยจากธรรมชาติ แต่หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ผู้ผลิตเหล่านี้ถูก ท้าทายด้วยความต้องการของลูกค้าที่ต้องการตุ๊กตาที่ซักได้ ตุ๊กตาที่ทำด้วยใยสังเคราะห์จึงเป็นที่นิยม ผู้ซื้อชอบแนวความคิดเรื่องตุ๊กตาซักได้ ตุ๊กตาหมี หลังสงครามโลกครั้งที่สองจึงถูกทำด้วยผ้าไนลอนหรือผ้าอะครีลิกเป็นส่วนใหญ่ ตาทำด้วยพลาสติก และยัดตัวหมีด้วยฟองน้ำ


ความนิยมที่หวนคืน
น่าแปลกที่ผู้ทำให้ความนิยมเทดดี้แบร์กลับมาอีกครั้ง หลังจากที่กลายเป็นสินค้าอุตสาหกรรมไปแล้ว กลับไม่ใช่เป็นผู้ผลิต แต่เป็นนักแสดงละครโทรทัศน์ที่ชื่อปีเตอร์ บูลของอังกฤษ ซึ่งเผยความรักที่เขามีต่อเทดดี้แบร์ และความเชื่อของเขาที่ว่าเทดดี้แบร์มีความสำคัญต่ออารมณ์ของผู้ใหญ่เช่นเดียวกัน ภายหลังจากเขาได้รับจดหมายถึง 2,000 ฉบับแสดงความเห็นด้วยกับการที่เขาเปิดเผยความรู้สึกต่อสาธารณะ ปีเตอร์รู้ว่าเขาไม่ได้รู้สึกเช่นนี้แต่เพียงลำพัง แรงบันดาลใจจากจดหมายเหล่านั้นทำให้เขาเขียนหนังสือขึ้นมาเล่มหนึ่ง เล่าประสบการณ์ของเทดดี้แบร์ที่มีอิทธิพลต่อชีวิตของเขา หนังสือชื่อว่า หมีกับฉัน ซึ่งต่อมาเปลี่ยนเป็น “ เทดดี้แบร์บุ้ค ” ปรากฏว่าหนังสือของเขาตรงกับความรู้สึกของคนอีกหลายพัน ที่เชื่อว่าเทดดี้แบร์มีอิทธิพลต่ออารมณ์ของตนเช่นเดียวกัน ปีเตอร์ บูลสร้างกระแสความนิยมเทดดี้แบร์ให้กลับมาอีกครั้งโดยมิได้ตั้งใจ แม้จะไม่ได้มากเท่ากับสมัยที่เป็นความนิยมในฐานะของเล่นเด็ก แต่กลายเป็นความนิยมในฐานะของสะสมสำหรับผู้ใหญ่ เทดดี้แบร์ ในวันนี้จึง “ ไม่ใช่ของเล่น ” สำหรับเด็กอีกต่อไป

ปี 1974 เบเวอร์ลี พอร์ต นักทำตุ๊กตาชาวอเมริกัน ผู้ชื่นชอบการทำ ตุ๊กตาหมี เธอนำ ตุ๊กตาหมี ฝีมือของเธอไปในงานแสดงตุ๊กตา ตุ๊กตาที่ชื่อ ธีโอดอร์ บี . แบร์ คล้องแขนกับตุ๊กตาอีกตัวหนึ่งไปแสดงในงาน ปีต่อมา เบเวอร์ลี นำภาพสไลด์ที่เธอสาธิตการทำ ตุ๊กตาหมี ให้กับชมรมตุ๊กตาของสหรัฐมาฉาย การสาธิตของเธอสร้างความตื่นเต้นและตื่นตัวให้กับผู้ชมเป็นอันมาก ความตื่นตัวเริ่มต้นจากสหรัฐอเมริกาแล้วก็ขยายออกไปทั่วโลก ผู้คนจำนวนมากได้รับอิทธิพลทางความคิดจากเบเวอร์ลี เริ่มแสดงความสามารถในการออกแบบ และตัดเย็บ ตุ๊กตาหมี ด้วยตนเองขึ้น นักออกแบบเทดดี้แบร์เกิดขึ้นมาคนแล้วคนเล่า ด้วยแรงบันดาลใจที่ได้รับจากเบเวอร์ลี ผู้สร้างคำว่า “ ศิลปินเทดดี้แบร์ ” ขึ้นมา และถูกยกย่องว่าเป็นมารดาแห่ง ศิลปะเทดดี้แบร์ ทุกวันนี้ศิลปินเทดดี้แบร์หลายพันคนทั่วโลก สร้างสรรค์ผลงานจากในบ้าน ไปสู่มือนักสะสมผู้ชื่นชมหมีน้อยที่น่ารักและอบอุ่น
ปัจจุบันศิลปิน
ตุ๊กตาหมี สร้างสรรค์งานออกแบบให้กับผู้ผลิตแบบอุตสาหกรรม เพื่อให้นักสะสมมีโอกาสสะสมตุ๊กตาจากนักออกแบบ ในราคาที่ถูกลง อันเนื่องมาจากการผลิตเป็นจำนวนมากนั่นเอง
ความนิยมใน
ตุ๊กตาหมี เพิ่มมากขึ้นในฐานะเป็นของสะสมสำหรับผู้ใหญ่ ทำให้ราคา ตุ๊กตาหมี โบราณ ที่ทำด้วยมือ และคุณภาพดี ซึ่งกันทำในช่วงต้นของศตวรรษที่ 20 มีค่าสูงขึ้น ตุ๊กตาหมี โบราณที่ผลิตขึ้นในทศวรรษปี 1970 และ 1980 นำออกแสดงในงานประมูลตุ๊กตาและของเล่นโบราณกันมากขึ้น และราคาในการประมูลก็สูงขึ้นเรื่อย ๆ ราคาประมูลสูงสุดที่เคยมีการบันทึกคือในปี 1994 มีราคาสูงถึง 176,000 ดอลล่าร์ เป็นหมีที่ผลิตในเยอรมันโดยบริษัท ชไตฟ์ การประมูลกระทำกันที่ สถาบันการประมูลคริสตี้ ในสหรัฐอเมริกา
ถึงวันนี้ ยังไม่มีสัญญาณอะไรที่บ่งบอกว่าความนิยมในเทดดี้แบร์จะลดน้อยถอยลง ในปี 1999 เฉพาะสหรัฐอเมริกาประเทศเดียวตัวเลขการใช้จ่ายที่นักสะสมควักเงินซื้อ
ตุ๊กตาหมี สูงถึง 441 ล้านดอลล่าร์