บราวนี่ (brownie) ขนมชิ้นสี่เหลี่ยมสีน้ำตาลเข้ม ถูกจัดให้อยู่ในหมวดหมู่ของคุกกี้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า sheet cookies หรือ คุกกี้แผ่น ที่มีลักษณะคล้ายเค้กช็อกโกแลตเข้มข้น แต่เนื้อแน่นกว่ามากและไม่เบาฟูเหมือนอย่างเค้ก นัยว่าเพราะใส่ผงฟูน้อย ขนมเค้กส่วนใหญ่นั้นเป็นก้อนกลม แต่บราวนี่กลับเป็นเค้กช็อกโกแลตที่อบในถาดแบนรูปสี่เหลี่ยมสูง 1 นิ้วกว่าๆ แล้วตัดแบ่งเป็นชิ้นลักษณะสี่เหลี่ยม ขนาดพอเหมาะเอกลักษณ์ของบราวนี่ก็อยู่ตรงที่เนื้อแน่นและเป็นเค้กตัดนี่แหละแม้ว่าที่มาของบราวนี่จะไม่ชัดเจน แต่นักประวัติศาสตร์อาหารสันนิษฐานว่า เจ้าขนมรูปทรงสี่เหลี่ยมนี้เกิดขึ้นในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นที่แรกตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 กล่าวกันว่า บราวนี่เกิดจากความบังเอิญในการทำเค้กช็อกโกแลตโดยลืมใส่ผงฟู อบออกมาแล้วเค้กไม่ขึ้นฟู แต่กลับได้ขนมสีน้ำตาลเข้มเนื้อแน่น อันเป็นที่มาของชื่อ “brownie” นั่นเอง นับได้ว่า " ความหลงลืม ความผิดพลาดเป็นปัจจัยผลักดันความก้าวหน้า " ให้ขนมชนิดนี้ถือกำเนิดขึ้นบนโลกชื่อของ brownie ปรากฏขึ้นครั้งแรกบนสื่อสิ่งพิมพ์ใน Sears, Roebuck and Company Catalog เมื่อปี ค.ศ.1897 ต่อมาไม่นานก็พบว่ามีสูตรการทำบราวนี่ตามตำราอาหารต่างๆด้วย อาทิเช่น Boston Cooking-School Cook Book, The Joy of Cooking จนคนรู้จักบราวนี่แพร่หลายขึ้น เป็นที่นิยมทำกินกันตั้งแต่ ค.ศ.1920 เป็นต้นมา
วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554
Brownie
เค้กช็อกโกแลตเยอรมัน
เค้กช็อกโกแลตเยอรมัน เป็นขนมที่มีส่วนประกอบจากเค้กรสชอคโกแลตและไส้กับหน้าซึ่งทำจากนมและน้ำตาลเคี่ยวจนข้น แล้วจึงใส่มะพร้าวและถั่วพีแคนปัจจุบันมีการสลับเปลี่ยนชนิดของถั่วและรสชาติของเนื้อเค้กเพื่อให้เกิดความหลากหลายมากขึ้น ทั้งนี้ก็ยังคงแนวความคิดด้วยการคงรูปแบบของเค้กเนื้อสอดไส้ที่มีมะพร้าวและถั่วเป็นส่วนประกอบ
แม้จะมีคำว่าเยอรมันอยู่ที่ชื่อ หากแต่มีต้นกำเนิดจากประเทศสหรัฐอเมริกา เนื่องจากบริษัทผลิตชอคโกแลตสำหรับขนมอบที่ชื่อว่า Baker's Chocolateที่ก่อตั้งโดยชาวอังกฤษนามว่า Samuel Baker ได้ลงสูตรขนมชนิดนี้ช่วงคริสต์ทศวรรษ 1950 และต่อมาไม่นานก็ได้เป็นที่แพร่หลายในบรรดาหมู่แม่บ้าน จึงมีการพิมพ์สูตรทั้งต้นฉบับและปรับปรุงแล้ว จนมีการพิมพ์ผิดพลาดเกิดขึ้นจาก German's Chocolate Cake เป็น German Chocolate Cake ในที่สุด
วันเสาร์ที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2554
RHINE RIVER
Art Basel
The world's premier international art show for Modern and contemporary works, Art Basel features nearly 300 leading galleries from North America, Latin America, Europe, Asia and Africa. More than 2,500 artists, ranging from the great masters of Modern art to the latest generation of emerging stars, are represented in the show's multiple sections. The exhibition includes the highest-quality paintings, sculptures, drawings, installations, photographs, video and editioned works.
62,500 people attended Art 41 Basel, the last edition of this favorite rendezvous for the global artworld, including art collectors, art dealers, artists, curators and other art enthusiasts.
With its world-class museums, outdoor sculptures, theaters, concert halls, idyllic medieval old town and new buildings by leading architects, Basel ranks as a culture capital, and that cultural richness helps put the Art Basel week on the agenda for art lovers from all over the globe. During Art Basel, a fascinating atmosphere fills this traditional city, as the international art show is reinforced with exhibitions and events all over the region.
วันพฤหัสบดีที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2554
ทะเลสาบเดดซี
สิ่งมหัศจรรย์ของโลกเรามีอยู่มากมายหลายชนิดบ้างก็มีความงดงามอย่างเหลือเชื่ออย่างทัชมาอาล บ้างใหญ่มโหฬารดูอลังการยิ่งใหญ่เฉกเช่นปิรามิดในอียิปต์หรือกำแพงเมืองจีน แต่หากพูดถึงทะเลสาบที่แปลกที่สุดแล้วเชื่อแน่ว่าหลายๆคนต้องนึกถึงทะเลสาบเดดซี ทะเลสาบเดดซีเป็นทะเลสาบน้ำเค็มที่ตั้งอยู่ระหว่างอาณาเขตประเทศจอร์แดนและอิสราเอลในปัจจุบัน ทะเลสาบแห่งนี้เกิดขึ้นมานานมากแล้ว แต่สิ่งที่ดูเด่นและกลายเป็นสัญลักษณ์ของมันคือความเค็มที่มากกว่าทะเลอื่นหลายเท่านัก เค็มจนกระทั่งจะหาสิ่งมีชีวิตอยู่อาศัยอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้ได้ยากเต็มที ไม่ต้องพูดถึงสัตว์ประเภทกุ้งหอยปูปลาที่เป็นของคู่กันกับแหล่งน้ำตามธรรมชาติ แต่สิ่งมีชีวิตที่พอจะอยู่อาศัยในทะเลสาบแห่งนี้ได้ก็เห็นจะมีแค่พวกเชื้อแบคทีเรียเล็กๆ ที่เล็กจนเรามองไม่เห็นด้วยสายตามนุษย์จนทำให้เราคิดเอาว่ามันเป็นทะเลที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดสามารถดำรงชีพอยู่ได้ในความเค็มที่เกินมาตรฐานเช่นนั้น เดดซีถูกจัดว่าเป็นทะเลสาบเพราะรอบอาณาบริเวณมีลักษณะเป็นแอ่งน้ำขนาดใหญ่ที่ไม่มีทางไหลออกไปสู่แหล่งน้ำอื่นซึ่งก็เหมือนกับลักษณะของทะเลสาบทั่วๆไป ทะเลสาบมีได้ทั้งทะเลสาบน้ำเค็มและทะเลสาบน้ำจืด และเดดซีก็คือทะเลสาบน้ำเค็มที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกก็ว่าได้
ชื่อของทะเลสาบเดดซี นี้มีปรากฏอยู่ในหลายภาษา เช่น Dead Sea ในภาษาอังกฤษ ส่วนชื่อในภาษาอาหรับรียกว่า อัลบะฮฺรุ อัลมัยยิต ซึ่งมีความหมายเช่นเดียวกับคำในภาษาอังกฤษคือทะเลแห่งความตาย ส่วนในภาษาฮิบรูเรียกทะเลสาบแห่งนี้ว่า ยัม ฮาเมลาห์ มีความหมายว่าทะเลเกลือ ในประเทศไทย ชื่อของทะเลาสาบเดดซี ปรากฎขึ้นในความรับรู้ของคนไทยในนามทะเลมรณะ เมื่อมีการเผยแพร่ศาสนาของคริสตจักรได้แผ่เข้ามาในเมืองไทยและได้มีการบัญญัติศัพท์เป็นภาษาไทยครั้งแรกว่า ทะเลมรณะ มีปรากฏถ้อยความอยู่ใน พระคัมภีร์ ไบเบิลฉบับภาษาไทย
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ของทะเลสาบเดดซีเป็นทะเลสาบน้ำเค็มขนาดใหญ่ที่ตั้งอยู่ใน ในระหว่างเขตแดนของจอร์แดนและอิสราเอล ทะเลสาบเดดซีมีความยาวสูงสุดประมาณ 67 กิโลเมตร กว้างสูงสุดประมาณ 18 กิโลเมตร ครอบคุลมพื้นที่ราว 810 ตารางกิโลเมตรโดยมีความลึกเฉลี่ยที่ 120 เมตร และมีจุดที่ลึกที่สุดอยู่ที่ 330 เมตร ในขณะที่พื้นที่ตั้งของทะเลสาบเดดซีก็ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลถึง 408 เมตร ดังนั้นหากวัดจากพื้นที่ลึกที่สุดของทะเลสาบแห่งนี้ก็จะอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเลราว 800 เมตรเลยทีเดียว และถือเป็นจุดที่ต่ำสุดของโลกเราเลยก็ว่าได้ ความเค็มของทะเลเดดซีในส่วนที่อยู่ลึกที่สุดมีมากถึง30 เปอร์เซ็นต์ในขณะที่ความเค็มของทะเลทั่วๆไปอย่างเช่นอ่าวไทยมีความเค็มเพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทะเลสาบเดดซีถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนโดยมีแหลมอัลลิซานกั้นกลาง ทะเลสาบทางตอนเหนือกินพื้นที่ราว 3 ใน 4 ซ้ำยังทั้งลึกและเค็มกว่า
มีตำนานเล่าขานกันมาว่าในยุคบรรพกาล ประชาชนชาวยิวที่อาศัยอยู่ในนครโบราณอันมีนามว่า นครโซโดมและนครโกเมอร์ราห์อันเป็นนครโบราณที่ตั้งอยู่บริเวณทะเลสาบเดดซีในสมัยนั้นผู้คนแห่งนครทั้งสองมีความประพฤติชั่วช้า พระเจ้าทรงพิโรธและได้ดลบันดาลให้มีไฟบรรลัยกัลป์เผาผลาญล้างนครทั้งสองเสีย ในที่สุดนครโบราณทั้งสองก็ได้จมหายลงภายใต้ผืนน้ำของทะเลเดดซี นั้นเป็นตำนานความเป็นมาที่มีปรากฏอยู่ในในพระคัมภีร์ไบเบิ้ลภาคพันธสัญญาเก่า อันเป็นเอกสารสำคัญของศาสนาคริสต์
ความเป็นมาของดินแดนแถบนี้รวมทั้งทะเลสาบเดดซีเริ่มปรากฏความกระจ่างชัดมากขึ้นในปีค.ศ.1947(พ.ศ. 2490) เมื่อนักเดินทางเร่ร่อนชาวเบดูอินได้ค้นพบเอกสารสำคัญทางประวัติศาสตร์โดยบังเอิญ เอกสารดังกล่าวถูกขานนามว่า “ม้วนเอกสารเดดซี” ซึ่งม้วนเอกสารเดดซีได้ปรากฏข้อความที่บอกความเป็นมาของภูมิภาคแถบนี้ไว้ มีการบันทึกเหตุการณ์ต่างๆไว้มากมายเช่นเรื่องราวของอาณาจักรปาเลสไตน์ที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาก่อนคริสต์ศาสนาจะถูกสถาปนาขึ้นหรือก่อนพระเยซูประสูติ ราว 400 ปีและดำรงอยู่จนถึงค.ศ. 135 ก่อนที่จะล่มสลายไป หรือเรื่องราวของกษัตริย์แฮรอด แห่งยูดาน์ที่ได้สร้างป้อมปราการมาดาซาขึ้นทางฝั่งตะวันตกของทะเลสาบเดดซี เป็นต้น ข้อความต่างๆที่มีปรากฏในม้วนเอกสารเดดซีได้มีการบันทึกไว้เป็นภาษาต่างๆมีทั้ง ภาษา ฮีบรู อาระบิก และภาษากรีก ในปัจจุบันม้วนเอกสารดังกล่าวถือว่าเป็นหลักฐานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ซึ่งได้เก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์ อัมมาน ประเทศจอร์แดน
นั้นเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับความเป็นมาของทะเลสาบแห่งนี้ในปัจจุบัน ทะเลสาบเดดซี ตั้งอยู่ในพื้นที่ทะเลทรายสภาพภูมิอากาศในบริเวณนั้นจะมีลักษณะหนาวจัดในตอนกลางคืนและร้อนจัดในตอนกลางวันโดยในบางปีทะเลสาบเดดซีจะมีอุณภูมิสูงถึง 51 องศาเซลเซียสเลยทีเดียว บริเวณดังกล่าวมีปริมาณน้ำฝนตกลงในพื้นที่เพียงเล็กน้อยในแต่ละปีโดยวัดได้เพียงแค่ราวๆ 65 มิลลิเมตรต่อปี จากอากาศที่ร้อนจัดและมีฝนน้อยนี้เองที่ทำให้ระดับน้ำจากทะเลสาบเดดซีค่อยๆระเหิดระเหยแห้งขอดลงทุกปี ทะเลเดดซี ได้รับน้ำจากต้นน้ำ เพียงแหล่งเดียวเท่านั้นคือแม่น้ำในประเทศจอร์แดน เมื่อการเกิดการระเหยอย่างมากของทะเลสาบเดดซีส่งผลให้ความเข้มข้นในทะเลสาบดังกล่าวเพิ่มสูงขึ้นตามลำดับ เพราะนอกจากระเหยจะทำให้ทะเลสาบเดดซีเข้มข้นมากขึ้นแล้ว น้ำที่ไหลมาจากแม่น้ำจอร์แดนก็ยังคงอุดมไปด้วยแร่ธาตุต่างๆเช่น โซเดียมและแมกนี้เซียมเมื่อไหลลงมาทำปฎิกริยากับน้ำพุร้อนในทะเลสาบเดดซีจึงเป็นปัจจัยเกื้อหนุนต่อความเค็มของทะเลแห่งนี้
น้ำในทะเลสาบเดดซีเป็นมีความเค็มมากกว่าน้ำในแหล่งน้ำปรกติมากมายหลายเท่า โดยปรกติความเค็มของน้ำทะเลจะเกิดขึ้นเพราะมีการละลายของเกลือหลายชนิดโดยเฉพาะ โซเดียมคลอไรด์ที่ มีสูตรทางเคมีว่า NaCl ในน้ำทะเลโดยเฉลี่ยแล้วมีเกลือร้อยละ 3.5 หรือน้ำทะเล 1 ลิตรจะมีเกลือละลายอยู่ประมาณ 35 กรัม แต่ในพื้นที่ของทะเลสาบเดดซีมีปริมาณเกลือมากถึง ปริมาณเกลือรวมกันมากถึง 10,523,000,000 ตัน และด้วยความหนาแน่นของน้ำในทะเลสาบเดดซีนี้เองที่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงสามารถลอยตัวอยู่ในทะเลสาบดังกล่าวได้ ซึ่งเป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์ที่ว่า สิ่งซึ่งมีความหนาแน่นน้อยกว่าก็จะสามารถลอยได้บนน้ำที่มีความหนาแน่นมากกว่าไม่ว่าสิ่งที่ลอยอยู่นั้นจะมีความใหญ่โตมโหฬารสักเพียงใด ความหนาแน่นที่แตกต่างกันของทะเลสาบเดดซีนี้หากเรานำน้ำ 1 ลิตรมาชั่งได้หนักเพียง 1 กิโลกรัม แต่น้ำหนักจากการชั่งน้ำจากทะเลเดดซี 1 ลิตร จะมีมากกว่าหลายเท่านัก และด้วยความเข้มข้นของเกลือจำนวนมากนี้เองจึงทำให้ไม่มีสิ่งมีชีวิตสามารถดำรงอยู่ได้เลย จนกลายเป็นจุดเด่นของทะเลสาบแห่งนี้ที่ทั้งเค็มและไม่มีสิ่งมีชีวิตอาศยอยู่ เคยมีข่าวเกี่ยวกับคุณพ่อขี้ลืมที่ลืมลูกวับ 8 ขวบให้ลอยคออยู่ในทะเลเดดซีนานถึง 6 ชั่วโมง แต่ด้วย ความดีของทะเลสาบเดดซีจึงทำให้เด็กน้อยสามารถลอยคออยู่ได้และได้รับการช่วยเหลือในที่สุด
บริเวณอันเป็นที่ตั้งของทะเลสาบเดดซีมีการผันผวนของสภาพภูมิอากาศอย่างมากแม้ในฤดูหนาวจะมีฝนตกชุกแต่ทว่าในฤดูร้อนที่มีอุณหภูมิสูงก็ทำให้น้ำจากทะเลสาบเดดซีระเหยออกไปอย่างรวดเร็วด้วยความที่ทะเลสาบแห่งนี้มีการระเหยอยู่ตลอดเวลาและการได้รับน้ำจากแหล่งเดียวซ้ำปริมาณน้ำฝนที่ตกลงในบริเวณนั้นก็มีปริมาณน้อยมากทำให้น่าหวั่นว่าสักวันมันจะแห้งขอดลงเหลือแต่บ่อเกลือขนาดมหึมา ทั้งนี้มีการคาดการณ์กันว่าทะเลเดดซีอาจจะเหือดแห้งลงภายในเวลาประมาณ 50 ปี โดยระดับน้ำได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันเนื้อที่ 1 ใน 3 ของทะเลสาบได้แห้งขอดลงแล้ว และทางรัฐบาลของจอร์แดนได้มีแนวคิดที่จะขุดคลองเชื่อมต่อระหว่างทะเลสาบเดดซีกับทะเลแดงเพื่อเพิ่มระดับน้ำให้กับทะเลสาบเดดซีไม่ให้แห้งขอดลง โดยหากมีการขุดคลองดังกล่าวเพื่อเชื่อมต่อขึ้นมาจริงๆ ก็จะมีความยาวถึง 200 กิโลเมตรและอาจจะต้องใช้งบประมาณสูงถึง 1,000 ล้านดอลลาร์เพื่อต้องการรักษาทะเลสาบแห่งนี้ไว้ เพราะถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าเย้ายวนใจไม่ใช่น้อย
ทะเลาสาบแห่งนี้ยังขึ้นชื่อในเรื่องการรักษาโรคและการบำรุงรักษาผิวพรรณน้ำในทะเลเดดซีเป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุต่างๆ เพราะการที่ไม่มีพื้นที่เชื่อต่อกับแม่น้ำสายอื่นให้ไหลออกได้ทำให้แร่ธาตุต่างๆมารวมกันอยู่ในทะเลสาบแห่งนี้เป็นจำนวนมากและทำให้หลายคนเชื่อกันว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดจากทะเลสาบเดดซี อุดมไปด้วยแร่ธาตุที่สมบูรณ์และสามารถช่วยเรื่องสุขภาพได้ โดยเฉพาะเรื่องผิวพรรณ ทั้งโคลนจากเดดซี เกลือจากเดดซีที่มีความเค็มมากกว่าเกลือที่อื่นหลายเท่าตัวหนักก็มักจะนำมาใช้ในทางการประทินผิวและรักษาผิวพรรณ ทั้งนี้สามารถช่วยรักษาได้ทั้งรังแค โรคผิวหนังรวมทั้งพิษทั้งแมลงกัดต่อย ช่วยให้ผิวนุ่มขึ้น ดูแล้วคล้ายกับว่าสถานที่แห่งนี้ กลายเป็นแหล่งรวมแร่ธาตุครอบจักรวาล
แม้จะแฝงไปด้วยความน่าพิศวงและน่าหลงไหลแต่กระนั้นทะเลสาบเดดซีก็หาใช่ทะเลที่มีความเค็มมากที่สุดอย่างเราหลายๆคนเข้าใจเพราะยังมีทะเลสาบในเอธิโอเปียที่ชื่อว่า Lake Assal ที่มีความเค็มมากกว่าเดดซี โดยทะเลสาบ Lake Assalมีเกลือเป็นส่วนผสมอยู่มากถึง 40 เปอร์เซ็นต์แต่เหตุที่ไม่โด่งดังเท่าทะเลสาบเดดซีเพราะที่ตั้งอยู่ในปล่องภูเขาไฟและห่างไกลเกินไปสำหรับการท่องเที่ยว
เดดซีอาจจะเป็นอีกหนึ่งสิ่งมหัศจรรย์ที่ธรรมชาติสร้างสรรค์ขึ้น ไม่บ่อยนักที่เราจะหาทะเลสาบที่มีความงดงาม แต่ไม่มีสิ่งมีชีวิตที่จะสามารถอาศัยอยู่ได้คล้ายดั่งดินแดนต้องห้าม ซ้ำยังไม่มีวันจม โลกเรายังเต็มไปด้วยความสวยงามและมีอีกหลายเรื่องราวแห่งความมหัศจรรย์ที่รอให้มนุษย์ไขความลับที่ดำมืดออกมาด้วยหลักวิทยาศาสตร์