วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

Cathédrale Saint-Pierre

มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม (Cathédrale Saint-Pierre d'Angoulême)

มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม หรือ มหาวิหารอองกูเล็ม (ฝรั่งเศส:Cathédrale Saint-Pierre d'Angoulême(ออกเสียง Angoulême),อังกฤษ:Angoulême Cathedral)มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็มเป็นวัดคริสต์ศาสนา ของนิกายโรมันคาทอลิกที่มีฐานะเป็น มหาวิหารของสังฆมณฑลอองกูเล็มที่ตั้งอยู่ที่เมืองอองกูเล็ม ในประเทศฝรั่งเศส สถาปัตยกรรมที่เห็นอยู่ในปัจจุบันเป็นแบบโรมาเนสก์ มหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม ซึ่งเป็นมหาวิหารที่เป็นตัวอย่างอันเด่นของสถาปัตยกรรมโรมาเนสก์ ได้รับการสถาปนาเป็นมหาวิหารในปี ค.ศ.1017


ประวัติ

มหาวิหารแรกที่สร้างสร้างบนสถานที่เดิมเป็นศาสนสถาน ก่อนยุคคริสเตียน ในมหาวิหารแซงต์ปิแยร์แห่งอองกูเล็ม ใช้เวลาสร้างทั้งหมดเริ่มสร้างเป็นครั้งแรกเมื่อปี ในคริสต์ศตวรรษที่ 4 วัดถูกทำลายเมื่อโคลวิสที่ 1 เข้ามายึดเมืองหลังจาก Battle of Vouillé ในปี ค.ศ.507 มหาวิหารต่อมาได้รับการสถาปนาในปี ค.ศ.560 แต่ก็มาถูกเผาโดยไวกิง และ นอร์มันราวสองร้อยปีต่อมามหาวิหารที่สามสร้างขึ้นภาพใต้การอำนวยการ ของสังฆราชกริโมดเจ้าอาวาสแห่งวัดแซงต์ปิแยร์แห่งบรานโทม และได้รับการสถาปนาในปี ค.ศ.1017 เมื่อต้นคริสต์ศตวรรษที่ 12 ประชาชนเห็นพ้องกันว่าวัดมีขนาดเล็กไปกว่าฐานะของเมือง การออกแบบมหาวิหารใหม่ทำโดยสังฆราชเจอร์ราร์ดที่สอง ผู้เป็นบุคคลสำคัญคนหนึ่งของฝรั่งเศสในยุคนั้นผู้เป็น ศาสตราจารย์ ผู้เทนพระสันตะปาปาสี่พระองค์ และเป็นศิลปินผู้มีฝีมือด้วย งานสร้างมหาวิหารเริ่มขึ้นราวปี ค.ศ.1110 และมาสิ้นสุดลงในปี ค.ศ.1128ลักษณะรูปทรงของมหาวิหารก็ได้รับเปลี่ยนแปลงไป จากการซ่อมแซมและขยายตัวในช่วงหลายร้อยปีที่ตามมา เช่นหอระฆังที่ถูกทำลายไประหว่างสงครามศาสนาในคริสต์ศตวรรษที่ 16 นอกจากนั้นก็ยังมีการเปลี่ยนแปลงระหว่างการบูรณปฏิสังขรณ์ โดยพอล อบาดีระหว่างปี ค.ศ.1866 ถึงปี ค.ศ.1885 ที่รวมทั้งการสร้างหอใหม่สองหอที่คลุมด้วยหลังคาทรงกรวย จะมีก็แต่มุขด้านตะวันตกหรือด้านหน้าเท่านั้น ที่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นสถาปัตยกรรมของยุคกลางสถาปัตยกรรมและศิลปะด้านหน้าของมหาวิหารตกแต่งด้วยประติมากรรมถึงกว่า 70 รูป ที่จัดเป็นสองหัวข้อ “อัสสัมชัญของพระเยซู” และ “การตัดสินครั้งสุดท้าย” ที่ผสานกันอย่างกลมกลืน พระเยซูปรากฏพระองค์ในกรอบมันดอร์ลา (mandorla) ขณะที่เทพสององค์ชี้ให้สาวกเห็นมโนทัศน์ ใบหน้าของผู้ศรัทธาภายใต้ซุ้มโค้งต่างก็มองไปทางพระมหาไถ่ ขณะที่ผู้สร้างบาปถูกผลักเข้าไปตามซอกซุ้มโค้ง ให้ถูกลงโทษเป็นเหยื่อของซาตาน นอกจากสองหัวข้อนี้แล้ว ประติมากรก็ยังสร้างภาพที่สะท้อนให้เห็นถึงชีวิตประจำวัน ที่รวมทั้งการล่าสัตว์ภายในสิ่งก่อสร้างเป็นทางเดินกลางที่อยู่ภายใต้โดมสามโดม แขนกางเขนยาวจรดหอทางด้านเหนือและใต้ มุขตะวันออกเป็นชาเปลกระจายออกไปสี่ชาเปล ตรงจุดตัดระหว่างทางเดินกลางและแขนกางเขนเป็นโดมขนาดใหญ่ ที่สร้างแทนโดมเดิมที่ถูกทำลายไประหว่างการถูกล้อมโดยโปรเตสแตนต์ในปี ค.ศ.1568 เดิมแขนกางเขนส่องสว่างด้วยหอตะเกียง (lantern tower) สองหอ แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียงหอเดียว (พอล อบาดีทำการขยายต่อเติม และย้ายประติมากรรมของยุคกลางออกไป)บริเวณร้องเพลงสวดครึ่งวงกลม ขนาบด้วยมุขขนาดเล็กสองมุขที่คลุมด้วยโดมครึ่งโดม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น